Materials

กุรฺบานอันประเสริฐ

นบีอิบราฮิมทำานายว่า อัลลอฮฺจะจัดเตรียมกุรฺบานอัน ประเสริฐ กุรฺบานอันประเสริฐ หมายถึงอะไร?

Click Here

เรื่องราวของความรอด

คลิกเพื่ออ่านเรื่องราว
Click Here

ในเริ่มแรกนั้น

Click Here

เหตุการณ์เหล่านั้นซึ่งสำเร็จแล้วในหมู่พวกเรา

Click Here

กาลิมะตุลลอฮฺเข้ามาในโลกดุนยา

Click Here

Bible Reading Plans

20%

1 .  ปัญหาของมนุษย์

-เป้าหมายของศาสนา คือ สอนให้ทุกคนเป็นคนดีและรักษาความดีนั้นไว้ ที่สำคัญคือทำตัวเองให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า โดยผ่านสิ่งที่เราทำ เราปฎิบัติ  เกือบทุกศาสนาพยายามช่วยเหลือมนุษย์  ให้หลุดพ้นจากความบาป  แต่ความเป็นจริงเราไม่สามารถทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ  ดูเหมือนว่าสิ่งที่ทำตามหลักของศาสนานั้นจะได้ผลแต่แท้ที่จริงความบาปนั้นยังอยู่กับเราเสมอไปไม่ได้หายไปไหน

            บาป คืออะไร? ………….เริ่มต้นมาจากไหน? ……………..แล้วผ่านเข้ามาในชีวิตของเราได้อย่างไง? …………. สุดท้ายบาปก็กลับมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราไปแล้วจริงไหม?

-เรากล้ายอมรับไหมว่าเรา “ ทุกคนเป็นคนบาป   คุณเป็นคนบาป……… ”

 แน่นอน เพราะว่าเรารู้สึกเสียใจ จิตใจมันฟ้อง ในสิ่งที่เราได้ทำสิ่งที่ผิด  เราหนีไม่พ้นแต่เรากลับต้องเจอกับความบาปทุกวัน ทุกเวลา   ดังนั้นเราจึงไม่สามารถเป็นคนที่พอพระทัยของพระเจ้าได้  เพราะว่าเราไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองให้หลุดพ้นจากบาปได้

            *  ตอนนี้คุณจัดการอย่างไงกับบาปที่อยู่ในตัวคุณ ?

            *  คิดว่าบาปหมดไปจากตัวคุณหรือยัง ?

            *  แล้วบาปของคุณจะหมดตอนไหน ?

            * แล้วศาสนาของคุณสอนอะไรเกี่ยวกับการลบล้างบาป ?

            * คุณจะต้องทำอีกนานแค่ไหนถึงจะหลุดพ้นจากบาปทั้งหมด ?

ปฐมกาล 1-10

ปฐมกาล 1

1 ในเริ่มแรกนั้นอัลลอฮฺทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดินโลกดุนยา
2 แผ่นดินโลกดุนยานั้นก็ปราศจากรูปร่างและว่างเปล่าอยู่ ความมืดอยู่เหนือผิวน้ำ และรุฮุลลอฮ์ของอัลลอฮฺปกอยู่เหนือผิวน้ำนั้น

 3 อัลลอฮฺตรัสว่าจงให้มีความสว่างแล้วความสว่างก็เกิดขึ้น 4 อัลลอฮฺทรงเห็นว่าความสว่างนั้นดี และอัลลอฮฺทรงแยกความสว่างนั้นออกจากความมืด 5 อัลลอฮฺทรงเรียกความสว่างนั้นว่าวัน และพระองค์ทรงเรียกความมืดนั้นว่าคืน มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่หนึ่ง

 6 อัลลอฮฺตรัสว่าจงให้มีพื้นอากาศในระหว่างน้ำ และจงให้พื้นอากาศนั้นแยกน้ำออกจากน้ำ 7 อัลลอฮฺทรงสร้างพื้นอากาศ และทรงแยกน้ำซึ่งอยู่ใต้พื้นอากาศจากน้ำซึ่งอยู่เหนือพื้นอากาศ ก็เป็นดังนั้น 8 อัลลอฮฺทรงเรียกพื้นอากาศว่าฟ้า มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่สอง

 9 อัลลอฮฺตรัสว่าจงให้น้ำที่อยู่ใต้ฟ้ารวบรวมเข้าอยู่แห่งเดียวกัน และจงให้ที่แห้งปรากฏขึ้นก็เป็นดังนั้น 10 อัลลอฮฺทรงเรียกที่แห้งว่าแผ่นดิน และที่น้ำรวบรวมเข้าอยู่แห่งเดียวกันว่าทะเล อัลลอฮฺทรงเห็นว่าดี

 11 อัลลอฮฺตรัสว่าจงให้แผ่นดินเกิดต้นหญ้า ต้นผักที่มีเมล็ด และต้นไม้ที่ออกผลที่มีเมล็ดในผลตามชนิดของมันบนแผ่นดินก็เป็นดังนั้น 12 แผ่นดินก็เกิดต้นหญ้า ต้นผักที่มีเมล็ดตามชนิดของมัน และต้นไม้ที่ออกผลที่มีเมล็ดในผลตามชนิดของมัน อัลลอฮฺทรงเห็นว่าดี
 13 มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่สาม

 14 อัลลอฮฺตรัสว่าจงให้มีดวงสว่างบนพื้นฟ้าอากาศเพื่อแยกวันออกจากคืน และเพื่อใช้เป็นหมายสำคัญ และที่กำหนดฤดู วันและปีต่างๆ 15 และจงให้เป็นดวงสว่างบนพื้นฟ้าอากาศเพื่อส่องสว่างบนแผ่นดินโลกดุนยาก็เป็นดังนั้น 16 อัลลอฮฺได้ทรงสร้างดวงสว่างใหญ่สองดวง ให้ดวงสว่างที่ใหญ่กว่านั้นครองกลางวัน และให้ดวงที่เล็กกว่าครองกลางคืน พระองค์ทรงสร้างดวงดาวต่างๆด้วยเช่นกัน 17 อัลลอฮฺทรงตั้งดวงสว่างเหล่านี้ไว้บนพื้นฟ้าอากาศเพื่อส่องสว่างบนแผ่นดินโลกดุนยา 18 เพื่อครองกลางวันและครองกลางคืน และเพื่อแยกความสว่างออกจากความมืด อัลลอฮฺทรงเห็นว่าดี
 19 มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่สี่

 20 อัลลอฮฺตรัสว่าจงให้น้ำอุดมบริบูรณ์ไปด้วยสัตว์ที่มีชีวิตแหวกว่ายไปมา และให้มีนกบินไปมาบนพื้นฟ้าอากาศเหนือแผ่นดินโลกดุนยา 21 อัลลอฮฺได้ทรงสร้างปลาวาฬใหญ่ บรรดาสัตว์ที่มีชีวิตแหวกว่ายไปมาตามชนิดของมันเกิดขึ้นบริบูรณ์ในน้ำนั้น และบรรดาสัตว์ที่มีปีกตามชนิดของมัน อัลลอฮฺทรงเห็นว่าดี 22 อัลลอฮฺได้ทรงอวยพรสัตว์เหล่านั้นว่าจงมีลูกดกและทวีมากขึ้น ให้น้ำในทะเลบริบูรณ์ไปด้วยสัตว์ และจงให้นกทวีมากขึ้นบนแผ่นดิน
 23 มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่ห้า
 24 อัลลอฮฺตรัสว่าจงให้แผ่นดินโลกดุนยาเกิดสัตว์ที่มีชีวิตตามชนิดของมัน สัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่าบนแผ่นดินโลกดุนยาตามชนิดของมันก็เป็นดังนั้น 25 อัลลอฮฺได้ทรงสร้างสัตว์ป่าบนแผ่นดินโลกดุนยาตามชนิดของมัน สัตว์ใช้งานตามชนิดของมัน และบรรดาสัตว์ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดินโลกดุนยาตามชนิดของมัน แล้วอัลลอฮฺทรงเห็นว่าดี

 26 และอัลลอฮฺตรัสว่าจงให้พวกเราสร้างมนุษย์ตามแบบฉายาของพวกเรา ตามอย่างพวกเรา และให้พวกเขาครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และสัตว์ใช้งาน ให้ครอบครองทั่วทั้งแผ่นดินโลกดุนยา และบรรดาสัตว์เลื้อยคลานที่คลานไปมาบนแผ่นดินโลกดุนยา
 27 ดังนั้นอัลลอฮฺได้ทรงสร้างมนุษย์ตามแบบฉายาของพระองค์ พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบฉายาของอัลลอฮฺ พระองค์ได้ทรงสร้างพวกเขาให้เป็นชายและหญิง 28 อัลลอฮฺได้ทรงอวยพรพวกเขา และอัลลอฮฺตรัสแก่พวกเขาว่าจงมีลูกดกและทวีมากขึ้น จนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดินนั้น และครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และบรรดาสัตว์ที่มีชีวิตที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดินโลกดุนยา

 29 อัลลอฮฺตรัสว่าดูเถิด เราให้บรรดาต้นผักที่มีเมล็ดซึ่งอยู่ทั่วพื้นแผ่นดินโลกดุนยา และบรรดาต้นไม้ซึ่งมีเมล็ดในผลแก่เจ้า ให้เป็นอาหารแก่เจ้า 30 สำหรับบรรดาสัตว์ป่าบนแผ่นดินโลกดุนยา บรรดานกในอากาศ และบรรดาสัตว์ที่เลื้อยคลานที่มีชีวิตบนแผ่นดินโลกดุนยา เราให้บรรดาพืชผักเขียวสดเป็นอาหารก็เป็นดังนั้น
 31 อัลลอฮฺทอดพระเนตรบรรดาสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง และดูเถิด เป็นสิ่งที่ดียิ่งนัก มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่หก

 

ปฐมกาล 2

1 ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินและสรรพสิ่งทั้งสิ้นที่มีอยู่ในนั้นก็ถูกสร้างเสร็จ 2 วันที่เจ็ด อัลลอฮฺก็เสร็จงานของพระองค์ที่ทรงทำมานั้น ในวันที่เจ็ดนั้นก็ทรงหยุดพักจากการงานทั้งสิ้นของพระองค์ที่ได้ทรงกระทำ 3 อัลลอฮฺจึงทรงอวยพรวันที่เจ็ด ทรงตั้งไว้เป็นวันบริสุทธิ์ เพราะในวันนั้นพระองค์ทรงหยุดพักจากการงานทั้งปวงที่อัลลอฮฺทรงเนรมิตสร้างและทรงกระทำ

 4 ลำดับเรื่องการเนรมิตสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินมีดังนี้

ในวันที่ยาห์เวห์ (ชื่อของพระเจ้าในภาษาฮิบรู)ทรงเนรมิตสร้างแผ่นดิน และฟ้าสวรรค์ 5 เมื่อยังไม่มีต้นไม้ตามทุ่งบนแผ่นดิน และพืชตามทุ่งก็ยังไม่งอกขึ้นเลย เพราะยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)ยังไม่ได้ทรงให้ฝนตกบนแผ่นดิน ทั้งยังไม่มีมนุษย์เพาะปลูกบนดิน 6 แต่มีละอองน้ำขึ้นมาจากแผ่นดิน รดพื้นดินทั่วทั้งหมด 7 ยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)ทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีจากพื้นดิน ระบายลมปราณเข้าทางจมูกของเขา มนุษย์จึงกลายเป็นผู้มีชีวิตอยู่

 8 พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงปลูกสวนแห่งหนึ่งไว้ในเอเดนทางทิศตะวันออก และทรงกำหนดให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงปั้นอยู่ที่นั่น 9 แล้วยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)ทรงให้ต้นไม้ทุกชนิดที่งามน่าดูและน่ากินงอกขึ้นจากพื้นดิน มีต้นไม้แห่งชีวิตต้นหนึ่งอยู่กลางสวนนั้น กับต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่วต้นหนึ่งด้วย

 10 มีแม่น้ำสายหนึ่งไหลจากเอเดนรดสวนนั้น จากที่นั่นก็แยกเป็นสี่สาย 11 ชื่อแม่น้ำสายที่หนึ่งคือปิโชน เป็นแม่น้ำที่ไหลรอบแผ่นดินฮาวิลาห์ทั้งหมด ที่มีแร่ทองคำ 12 ทองคำที่บริเวณนั้นเป็นทองคำเนื้อดี และมียางไม้ตะคร้ำและโมรา 13 ชื่อแม่น้ำสายที่สองคือกิโฮน ไหลรอบแผ่นดินคูชทั้งหมด 14 ชื่อแม่น้ำสายที่สามคือไทกริส ไหลไปทางทิศตะวันออกของอัสซีเรีย และแม่น้ำสายที่สี่ชื่อยูเฟรติส

 15 ยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)จึงทรงให้มนุษย์นั้นอาศัยอยู่ในสวนเอเดน ให้ทำและดูแลสวน 16 ยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)จึงตรัสสั่งมนุษย์นั้นว่าผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้ตามใจชอบ 17 แต่ผลของต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่วนั้น ห้ามเจ้ากิน เพราะในวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตายแน่

 18 ยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)ตรัสว่าการที่ชายผู้นี้จะอยู่แต่ลำพังนั้นไม่ดี เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมกับเขาขึ้น 19 ยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)จึงทรงปั้นสัตว์ทุกชนิดในท้องทุ่ง และนกทุกชนิดในท้องฟ้าจากดิน แล้วทรงนำมายังชายนั้น เพื่อดูว่า เขาจะเรียกชื่อมันว่าอะไร ชายนั้นตั้งชื่อสัตว์ทุกชนิดที่มีชีวิตว่าอย่างไร สัตว์นั้นก็มีชื่ออย่างนั้น 20 ชายนั้นจึงตั้งชื่อสัตว์ใช้งานทุกชนิด และนกในอากาศและสัตว์ป่าทุกชนิด แต่ชายนั้นยังไม่พบคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมกับเขา 21 แล้วยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)จึงทรงทำให้ชายนั้นหลับสนิท ขณะที่เขาหลับอยู่ พระองค์ทรงชักกระดูกซี่โครงซี่หนึ่งของเขาออกมา แล้วทำให้เนื้อติดกันเข้าแทนกระดูก 22 ส่วนกระดูกซี่โครงที่ยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)ได้ทรงชักออกจากชายนั้น พระองค์ทรงสร้างให้เป็นหญิง แล้วทรงนำมาให้ชายนั้น 23 ชายนั้นจึงว่า   “นี่แหละ กระดูกจากกระดูกของเรา  เนื้อจากเนื้อของเรา  จะเรียกคนนี้ว่าหญิง  เพราะคนนี้ออกมาจากชาย
 24 เพราะเหตุนั้นผู้ชายจะละจากบิดามารดาของเขาไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน 25 ผู้ชายและภรรยาของเขาเปลือยกายอยู่ทั้งสองคนและไม่อายกัน

 

ปฐมกาล 3

1 ในบรรดาสัตว์ป่าทั้งหมด ที่ยาห์เวห์ (ชื่อของพระเจ้าในภาษาฮิบรู)ทรงสร้างนั้น งูฉลาดกว่าหมด มันถามหญิงนั้นว่าจริงหรือ? ที่อัลลอฮฺตรัสว่าห้ามพวกเจ้ากินผลจากต้นไม้ทุกต้นในสวนนี้’ ” 2 หญิงนั้นจึงตอบงูว่าผลของต้นไม้ในสวนนี้เรากินได้ 3 เว้นแต่ผลของต้นไม้ที่อยู่กลางสวนนั้น อัลลอฮฺตรัสว่าห้ามพวกเจ้ากินและแตะต้องเลย มิฉะนั้นพวกเจ้าจะตาย’ ” 4 งูจึงพูดกับหญิงนั้นว่าพวกเจ้าจะไม่ตายแน่ 5 เพราะอัลลอฮฺทรงทราบอยู่ว่า พวกเจ้ากินผลจากต้นไม้นั้นวันใด ตาของพวกเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น แล้วพวกเจ้าจะเป็นเหมือนอย่างอัลลอฮฺ คือรู้ความดีและความชั่ว 6 เมื่อหญิงนั้นเห็นว่าต้นไม้นั้นดีน่ากิน ทั้งเป็นต้นไม้น่าปรารถนาที่ทำให้เกิดปัญญา จึงเก็บผลไม้นั้นมากิน แล้วส่งให้สามีที่อยู่กับเธอกินด้วย เขาก็กิน 7 ตาของเขาทั้งสองคนก็สว่างขึ้น จึงรู้ว่าพวกเขาเปลือยกายอยู่ ก็เอาใบมะเดื่อมาเย็บเป็นเครื่องปกปิดกายไว้

 8 เวลาเย็นวันนั้น เขาทั้งสองได้ยินเสียงยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)เสด็จดำเนินอยู่ในสวน ชายนั้นกับภรรยาของเขาก็ซ่อนตัวอยู่ในหมู่ต้นไม้กลางสวน ให้พ้นจากพระพักตร์ยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ) 9 ยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)ทรงเรียกชายนั้นและตรัสถามเขาว่าเจ้าอยู่ที่ไหน?” 10 ชายนั้นทูลว่าข้าพระองค์ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ในสวนก็กลัว เพราะข้าพระองค์เปลือยกายอยู่ จึงได้ซ่อนตัวเสีย 11 พระองค์จึงตรัสว่าใครบอกเจ้าว่าเจ้าเปลือยกาย? เจ้ากินผลจากต้นไม้ที่เราสั่งไม่ให้กินนั้นแล้วหรือ?” 12 ชายนั้นทูลว่าหญิงที่พระองค์ประทานให้อยู่กับข้าพระองค์ เธอส่งผลจากต้นไม้นั้นให้ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงรับประทาน 13 ยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)ตรัสถามหญิงนั้นว่านี่เจ้าทำอะไรลงไป?” หญิงนั้นทูลว่างูล่อลวงข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงรับประทาน 14 ยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ) จึงตรัสกับงูว่า

เพราะเหตุที่เจ้าทำเช่นนี้

เจ้าจะต้องถูกสาปแช่งมากกว่าสัตว์ใช้งานและสัตว์ป่าทั้งปวง

จะต้องเลื้อยไปด้วยท้อง

จะต้องกินผงคลีดินตลอดชีวิตของเจ้า

 15 เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน

ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้า และพงศ์พันธุ์ของนางด้วย

เขาจะทำให้หัวของเจ้าแหลก

และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ

 16 พระองค์ตรัสแก่หญิงนั้นว่า

เราจะเพิ่มความทุกข์ลำบากมากขึ้นแก่เจ้า

และเมื่อเจ้ามีครรภ์ เจ้าจะคลอดบุตรด้วยความเจ็บปวด

ถึงกระนั้น เจ้าจะยังปรารถนาในสามีของเจ้า

และเขาจะปกครองตัวเจ้า

 17 พระองค์จึงตรัสแก่ชายนั้นว่า

เพราะเหตุเจ้าเชื่อฟังคำพูดของภรรยา

และกินผลจากต้นไม้ที่เราสั่งไม่ให้กินผลจากต้นนั้น แผ่นดินจึงต้องถูกสาปเพราะเจ้า

เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินด้วยความทุกข์ลำบากตลอดชีวิต

 18 ต้นไม้และพืชที่มีหนามจะงอกขึ้นบนดินแก่เจ้า

และเจ้าจะกินพืชตามท้องทุ่ง

 19 เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้า

จนเจ้ากลับไปเป็นดิน

เพราะเจ้าถูกนำมาจากดิน

และเพราะเจ้าเป็นผงคลีดิน

และเจ้าจะกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม

 20 อาดัมเรียกภรรยาของเขาว่าฮาวาเพราะนางเป็นมารดาของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง 21 ยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)ทรงทำเสื้อด้วยหนังสัตว์ให้อาดัมและภรรยาของเขาสวมปกปิดกาย

 22 แล้วยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)ตรัสว่าดูสิ มนุษย์กลายเป็นเหมือนผู้หนึ่งในพวกเราแล้ว โดยที่รู้ความดีและความชั่ว บัดนี้ อย่าปล่อยให้เขายื่นมือไปหยิบผลจากต้นไม้แห่งชีวิตมากินด้วย แล้วมีอายุยืนชั่วนิรันดร์ 23 เพราะฉะนั้นยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)จึงทรงไล่เขาออกไปจากสวนเอเดน ให้เพาะปลูกบนดินซึ่งใช้สร้างเขาขึ้นมา 24 พระองค์ทรงขับไล่ชายนั้นออกไป และทรงตั้งเหล่าเครูบทางด้านทิศตะวันออกของสวนเอเดน และตั้งดาบเพลิงอันหนึ่งที่หมุนได้ไว้เฝ้าทางที่จะไปสู่ต้นไม้แห่งชีวิตนั้น

 

ปฐมกาล 4

1 ฝ่ายชายนั้นมีเพศสัมพันธ์กับฮาวาภรรยาของเขา นางก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชื่อคาบิล นางจึงกล่าวว่าฉันได้รับผู้ชายคนหนึ่งด้วยความช่วยเหลือของยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)” 2 ต่อมานางก็ให้กำเนิดน้องชายของเขาชื่อฮาบิล ฮาบิลเป็นคนเลี้ยงแกะ ส่วนคาบิลเป็นคนเพาะปลูก 3 อยู่มาวันหนึ่งคาบิลนำพืชผลจากผืนดินมาเป็นของถวายแด่ยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ) 4 ส่วนฮาบิลก็นำแกะหัวปีจากฝูงและไขมันของแกะมาถวาย ยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)พอพระทัยฮาบิลและของถวายของเขา 5 แต่คาบิลกับของถวายของเขานั้น พระองค์ไม่พอพระทัย คาบิลก็โกรธยิ่งนัก ก้มหน้าลง 6 ยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)จึงตรัสถามคาบิลว่าทำไมเจ้าโกรธ? ทำไมหน้าเจ้าบูดบึ้ง? 7 ถ้าเจ้าทำดี เจ้าก็จะเป็นที่ยอมรับไม่ใช่หรือ? ถ้าเจ้าทำไม่ดี บาปก็หมอบอยู่ที่ประตู อยากตะครุบเจ้า เจ้าจะต้องเอาชนะบาปนั้น

 8 ฝ่ายคาบิลพูดกับฮาบิลน้องชายของเขาว่าให้เราไปที่ทุ่งนากันเถอะ”  เมื่ออยู่ในทุ่งด้วยกัน คาบิลก็โถมเข้าฆ่าฮาบิลน้องชายของเขา 9 ยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)ตรัสถามคาบิลว่าฮาบิลน้องชายของเจ้าอยู่ที่ไหน?” คาบิลจึงทูลว่าข้าพระองค์ไม่ทราบ ข้าพระองค์เป็นผู้ดูแลน้องหรือ?” 10 พระองค์ตรัสว่าเจ้าทำอะไรลงไป? เสียงของโลหิตน้องของเจ้าร้องดังขึ้นมาจากดินถึงเรา 11 บัดนี้ เจ้าจึงถูกสาปจากดินที่อ้าปากรับโลหิตของน้องจากมือเจ้า 12 เมื่อเจ้าเพาะปลูกบนดินจะไม่เกิดผลมาก เจ้าจะต้องหลบหนีและพเนจรไปในโลก 13 ฝ่ายคาบิลทูลยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)ว่าโทษของข้าพระองค์หนักเหลือที่ข้าพระองค์จะทนได้ 14 ดูเถิด วันนี้พระองค์ทรงขับไล่ข้าพระองค์ออกจากแผ่นดิน และจากพระพักตร์พระองค์ไป ข้าพระองค์จะต้องหลบซ่อนและจะกลายเป็นผู้หลบหนีพเนจรไปในโลก ใครพบข้าพระองค์ก็จะฆ่าข้าพระองค์เสีย 15 ยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)ตรัสแก่คาบิลว่าไม่ได้ ทุกคนที่ฆ่าคาบิล จะมีโทษเจ็ดเท่าแล้วยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)ทรงทำเครื่องหมายไว้ที่ตัวคาบิล เพื่อว่าทุกคนที่พบเขาจะได้ไม่ฆ่าเขา 16 คาบิลออกไปพ้นพระพักตร์ยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)ไปอยู่แผ่นดินโนด ทางทิศตะวันออกของเอเดน

 17 คาบิลมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาของเขา นางก็ตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายชื่อเอโนค(อิดรีส) คาบิลสร้างเมืองขึ้นเมืองหนึ่ง ให้ชื่อเมืองนั้นว่า เอโนค(อิดรีส) ตามชื่อบุตรของเขา 18 เอโนค(อิดรีส)มีบุตรชื่ออิราด อิราดมีบุตรชื่อเมหุยาเอล เมหุยาเอลมีบุตรชื่อเมธูชาเอล และเมธูชาเอลมีบุตรชื่อลาเมค 19 ส่วนลาเมคได้ภรรยาสองคน คนหนึ่งชื่ออาดาห์ คนหนึ่งชื่อศิลลาห์ 20 นางอาดาห์มีบุตรชื่อยาบาล เขาเป็นบรรพบุรุษของคนที่อาศัยในเต็นท์และมีอาชีพเลี้ยงสัตว์ 21 น้องชายของเขาชื่อยูบาล เขาเป็นบรรพบุรุษของคนทั้งปวงที่มีฝีมือดีดพิณเขาคู่และเป่าปี่ 22 นางศิลลาห์มีบุตรชายด้วย ชื่อทูบัลคาอิน เป็นช่างทำเครื่องมือทองสัมฤทธิ์ทุกชนิดและเครื่องมือเหล็ก ทูบัลคาอินมีน้องสาวชื่อนาอามาห์ 23 ลาเมคพูดกับภรรยาทั้งสองของเขาว่า

อาดาห์และศิลลาห์จงฟังเสียงของเรา

ภรรยาทั้งสองของลาเมคเอ๋ย จงสดับฟังถ้อยคำของข้า

เพราะข้าฆ่าชายคนหนึ่ง ที่ทำให้ข้าบาดเจ็บ

เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ที่ทำร้ายข้า

 24 ถ้าหากทำร้ายคาบิล ต้องรับโทษคืนเจ็ดเท่าแล้ว

เมื่อทำร้ายลาเมคก็ต้องรับโทษเจ็ดสิบเจ็ดเท่า

 25 อาดัมมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาของเขาอีก นางก็ให้กำเนิดบุตรชาย เรียกชื่อว่า เสท เพราะพระเจ้าประทานเชื้อสายให้ฉันอีกคนหนึ่งแทนฮาบิลเพราะคาบิลฆ่าฮาบิลเสีย 26 แล้วเสทก็มีบุตรคนหนึ่ง เรียกชื่อว่า เอโนค (อิดรีส) ตั้งแต่นั้นมามนุษย์เริ่มออกพระนามยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)

 

ปฐมกาล 5

1 ต่อไปนี้เป็นหนังสือลำดับพงศ์พันธุ์ของอาดัม เมื่ออัลลอฮฺทรงสร้างมนุษย์นั้น พระองค์ทรงสร้างตามอย่างของพระองค์ 2 พระองค์ทรงสร้างเป็นชายและหญิง แล้วทรงอวยพรแก่พวกเขา และทรงเรียกพวกเขาว่ามนุษย์ในวันที่พระองค์ทรงสร้างนั้น 3 เมื่ออาดัมอยู่มาได้ 130 ปี จึงมีบุตรชายคนหนึ่งตามอย่างตามฉายาของเขาและตั้งชื่อว่า เสท 4 หลังจากอาดัมมีบุตรคือเสทแล้ว ก็มีอายุอีก 800 ปี มีบุตรชายหญิงอีกหลายคน 5 รวมอายุของอาดัมได้ 930 ปี จึงสิ้นชีวิต

 6 เสทอยู่มาได้ 105 ปี จึงมีบุตรชายชื่อ เอโนค (อิดรีส) 7 หลังจากเสทมีบุตรคือเอโนค (อิดรีส)แล้ว ก็มีชีวิตอีก 807 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน 8 รวมอายุของเสทได้ 912 ปี จึงสิ้นชีวิต

 9 เอโนค (อิดรีส)อยู่มาได้ 90 ปี จึงมีบุตรชื่อเคนัน 10 หลังจากเอโนค (อิดรีส)มีบุตรคือเคนันแล้ว ก็มีชีวิตอีก 815 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน 11 รวมอายุของเอโนค (อิดรีส)ได้ 905 ปีจึงสิ้นชีวิต

 12 เคนันอยู่มาได้ 70 ปี จึงมีบุตรชื่อมาหะลาเลล 13 หลังจากเคนันมีบุตรคือมาหะลาเลลแล้ว ก็มีชีวิตอีก 840 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน 14 รวมอายุของเคนันได้ 910 ปี จึงสิ้นชีวิต

 15 มาหะลาเลลอยู่มาได้ 65 ปี จึงมีบุตรชื่อยาเรด 16 หลังจากมาหะลาเลลมีบุตรคือยาเรดแล้ว ก็มีชีวิตอีก 830 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน 17 รวมอายุของมาหะลาเลลได้ 895 ปี จึงสิ้นชีวิต

 18 ยาเรดอยู่มาได้ 162 ปี จึงมีบุตรชื่อเอโนค (อิดรีส) 19 หลังจากยาเรดมีบุตรคือเอโนค (อิดรีส)แล้ว ก็มีชีวิตอีก 800 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน 20 รวมอายุของยาเรดได้ 962 ปี จึงสิ้นชีวิต

 21 เอโนค (อิดรีส)อยู่มาได้ 65 ปี จึงมีบุตรชื่อเมธูเสลาห์ 22 หลังจากเอโนค (อิดรีส)มีบุตรคือเมธูเสลาห์แล้ว ก็ดำเนินกับพระเจ้า 300 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน 23 รวมอายุของเอโนค (อิดรีส)ได้ 365 ปี 24 เอโนค (อิดรีส)ดำเนินกับพระเจ้าแล้วก็หายไปเพราะพระเจ้าทรงรับเขาไป

 25 เมธูเสลาห์อยู่มาได้ 187 ปี จึงมีบุตรชายชื่อลาเมค 26 หลังจากเมธูเสลาห์มีบุตรคือลาเมคแล้ว ก็มีชีวิตอีก 782 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน 27 รวมอายุของเมธูเสลาห์ได้ 969 ปี จึงสิ้นชีวิต

 28 ลาเมคอยู่มาได้ 182 ปี จึงมีบุตรชายคนหนึ่ง 29 เขาตั้งชื่อบุตรว่า นูห กล่าวว่าคนนี้จะชูใจเราในการงานของเรา การตรากตรำของมือเรา และจากแผ่นดินซึ่งยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)ทรงแช่งสาปไว้ 30 หลังจากลาเมคมีบุตรคือนูหแล้ว ก็มีชีวิตอีก 595 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน 31 รวมอายุของลาเมคได้ 777 ปี จึงสิ้นชีวิต

 32 นูหมีอายุได้ 500 ปี จึงมีบุตรชายชื่อเชม ฮามและยาเฟท

 

ปฐมกาล 6

1 อยู่มามนุษย์เริ่มทวีมากขึ้นบนแผ่นดินและมีบุตรหญิง 2 บุตรชายของอัลลอฮฺเห็นว่าบุตรหญิงของมนุษย์งามดีก็เลือกและรับไว้เป็นภรรยา 3 ยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)จึงตรัสว่าวิญญาณของเราจะไม่ต่อสู้กับมนุษย์ตลอดกาล เพราะมนุษย์เป็นแต่เนื้อหนัง วันเวลาของเขาคือ 120 ปี 4 เวลานั้นมีคนเนฟิลอยู่บนแผ่นดิน ภายหลังที่บุตรชายของอัลลอฮฺเข้าหาบุตรหญิงของมนุษย์และมีบุตร คือ พวกที่เป็นเหล่านักรบในโบราณกาล เป็นพวกที่มีชื่อเสียง

 5 ยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)ทรงเห็นว่าความชั่วร้ายของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน และทรงเห็นว่าเค้าความคิดในใจทั้งหมดของเขาล้วนเป็นเรื่องชั่วร้ายตลอดเวลา 6 ยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)เสียพระทัยที่ทรงสร้างมนุษย์ไว้บนแผ่นดินและโทมนัสยิ่งนัก 7 ยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)จึงตรัสว่าเราจะกวาดล้างมนุษย์ที่เราได้สร้างมานี้ไปเสียจากแผ่นดิน ทั้งมนุษย์และสัตว์ใช้งาน กับสัตว์เลื้อยคลานและนกในอากาศด้วย เพราะว่าเราเสียใจที่ได้สร้างพวกเขา 8 แต่นูหเป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)

 9 ต่อไปนี้คือลำดับพงศ์พันธุ์ของนูห นูหเป็นคนชอบธรรมดีพร้อมในสมัยของเขา นูหดำเนินกับพระเจ้า 10 นูหมีบุตรสามคน ชื่อเชม ฮาม และยาเฟท

 11 คนทั้งโลกเสื่อมทรามไปเฉพาะพระพักตร์ของอัลลอฮฺ และแผ่นดินก็เต็มด้วยความโหดร้าย 12 อัลลอฮฺทอดพระเนตรแผ่นดินก็ทรงเห็นว่าเสื่อมทราม เพราะมนุษย์ทั้งหมดประพฤติตนเสื่อมทรามบนแผ่นดิน

 13 อัลลอฮฺจึงตรัสแก่นูหว่าเราจะให้มนุษย์และสัตว์ทั้งปวงสิ้นสุดต่อหน้าเรา ด้วยเหตุว่า แผ่นดินโลกเต็มด้วยความโหดร้ายเพราะการกระทำของมนุษย์ ดูเถิด เราจะทำลายพวกเขาพร้อมกับแผ่นดินโลก  14 เจ้าจงต่อเรือด้วยไม้สนโกเฟอร์ แล้วทำเรือเป็นห้องๆ และยาชันทั้งข้างในข้างนอก 15 จงต่อเรือนั้นตามแบบนี้ คือ ยาว 133 เมตร กว้าง 22 เมตร สูง 13 เมตร 16 จงทำช่องสำหรับเรือให้เสร็จโดยให้ห่างจากข้างบน 44 เซนติเมตร จงตั้งประตูเรือที่ด้านข้าง และทำดาดฟ้าชั้นล่าง ชั้นที่สองและที่สาม 17 เพราะดูเถิด เราเองจะเป็นผู้ทำให้น้ำท่วมแผ่นดิน เพื่อทำลายมนุษย์และสัตว์ใต้ฟ้าที่มีลมปราณ ทุกสิ่งที่อยู่บนแผ่นดินจะตายสิ้น 18 แต่เราจะตั้งพันธสัญญาของเราไว้กับเจ้า เจ้าจะเข้าอยู่ในเรือ ทั้งตัวเจ้า บรรดาบุตรของเจ้า ภรรยาของเจ้า และบรรดาบุตรสะใภ้ของเจ้า 19 จงนำสัตว์ตัวผู้และตัวเมียทุกชนิดอย่างละคู่จากสัตว์ที่มีชีวิตทั้งปวงเข้าไปไว้ในเรือ เพื่อให้มีชีวิตรอดอยู่กับเจ้า 20 นกตามชนิดของมัน สัตว์ตามชนิดของมัน สัตว์เลื้อยคลานบนแผ่นดินตามชนิดของมัน ทุกชนิดอย่างละคู่จากสัตว์ทั้งปวงต้องมาหาเจ้า เพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้ 21 เจ้าจงนำอาหารทุกอย่างที่กินได้ไปกับเจ้า และสะสมเพื่อเป็นอาหารของเจ้าและของบรรดาสิ่งมีชีวิต 22 อัลลอฮฺทรงบัญชาให้นูหทำอย่างไร นูหก็ทำอย่างนั้นทุกประการ

 

ปฐมกาล 7

1 แล้วยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)ตรัสแก่นูหว่าเจ้าและครัวเรือนทั้งหมดของเจ้าจงเข้าไปในเรือ เพราะในชั่วอายุคนรุ่นนี้เราเห็นเจ้าเป็นผู้ชอบธรรมต่อหน้าเรา 2 จงเอาสัตว์ใช้งานที่ไม่เป็นมลทินทุกชนิดไปกับเจ้าด้วยอย่างละเจ็ดคู่ทั้งตัวผู้และตัวเมีย และสัตว์ใช้งานที่เป็นมลทินอย่างละคู่ทั้งตัวผู้และตัวเมีย 3 นกในอากาศอย่างละเจ็ดคู่ทั้งตัวผู้และตัวเมีย เพื่อรักษาพันธุ์สัตว์ให้มีชีวิตทั่วพื้นแผ่นดิน 4 เพราะว่าอีกเจ็ดวันเราจะทำให้ฝนตกบนแผ่นดินสี่สิบวันสี่สิบคืน เราจะทำลายล้างมนุษย์และสัตว์ทั้งหมดที่เราสร้างจากพื้นแผ่นดิน” 5 นูหก็ทำตามที่ยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)ทรงบัญชาท่านทุกประการ

 6 เมื่อน้ำท่วมแผ่นดินนั้น นูหมีอายุได้ 600 ปี 7 นูหกับบุตรทั้งสาม ภรรยาและพวกบุตรสะใภ้เข้าไปในเรือนั้นเพื่อให้พ้นน้ำท่วม 8 สัตว์ใช้งานที่ไม่เป็นมลทินและสัตว์ใช้งานที่เป็นมลทินกับนกและสัตว์ทุกชนิดที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน 9 ก็มาหานูหแล้วเข้าไปในเรือเป็นคู่ๆ ทั้งตัวผู้และตัวเมีย ดังที่อัลลอฮฺทรงบัญชานูหไว้ 10 เมื่อล่วงไปเจ็ดวัน น้ำก็ท่วมแผ่นดิน

 11 เมื่อนูหมีอายุได้ 600 ปี ในเดือนที่สองวันที่สิบเจ็ดของเดือนนั้น ในวันนั้นเองน้ำพุใต้บาดาลที่ลึกมากทั้งหมดก็พลุ่งขึ้นมา และช่องฟ้าก็เปิด 12 ฝนตกบนแผ่นดิน 40 วัน 40 คืน 13 วันเดียวกันนั้นนูหกับเชม ฮาม และยาเฟท บรรดาบุตรของท่าน และภรรยาของนูห กับบุตรสะใภ้สามคนเข้าไปในเรือ 14 คนเหล่านั้นกับสัตว์ทั้งปวงตามชนิดของมัน สัตว์ใช้งานทั้งปวงตามชนิดของมัน และสัตว์เลื้อยคลานทั้งปวงบนแผ่นดินตามชนิดของมัน และนกทั้งปวงตามชนิดของมัน คือนกทุกอย่าง 15 สัตว์ทั้งหลายที่มีลมหายใจก็เข้าไปในเรือกับนูหเป็นคู่ๆ 16 บรรดาสัตว์ที่เข้าไปนั้นมีทั้งตัวผู้และตัวเมียทุกชนิด ต่างเข้าไปตามที่อัลลอฮฺทรงบัญชา แล้วยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)ทรงปิดให้ท่านอยู่ข้างใน

 17 น้ำท่วมแผ่นดินตลอด 40 วัน น้ำทวีขึ้นหนุนเรือให้สูงเหนือแผ่นดิน 18 น้ำทวีมากขึ้นบนแผ่นดิน ส่วนเรือก็ลอยขึ้นบนผิวน้ำ 19 น้ำทวีแรงมากยิ่งขึ้นบนแผ่นดิน ท่วมภูเขาสูงทั้งหลายที่อยู่ใต้ฟ้าทุกแห่งมิดหมด 20 น้ำท่วมสูงขึ้นไปเจ็ดเมตรครึ่งและภูเขาทั้งหลายก็ถูกปกคลุมด้วยน้ำ 21 สิ่งมีชีวิตทั้งปวงที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน คือนก สัตว์ใช้งาน สัตว์ป่ากับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนที่ติดพื้นดิน และมนุษย์ทั้งปวงก็ตายสิ้น 22 สิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดที่มีลมหายใจเข้าออกทางจมูก คือทั้งหมดที่อาศัยอยู่บนบกก็ตายสิ้น 23 พระองค์ทรงทำลายล้างสิ่งทั้งปวงที่มีชีวิตอยู่บนพื้นดินตั้งแต่มนุษย์ไปจนถึงสัตว์ใช้งานและสัตว์เลื้อยคลาน และนกในอากาศ พวกเหล่านี้ถูกทำลายล้างเสียจากโลก เหลืออยู่แต่นูหและบรรดาผู้ที่อยู่กับท่านในเรือ 24 น้ำท่วมแผ่นดินอยู่ถึง 150 วัน

 

ปฐมกาล 8

1 อัลลอฮฺทรงระลึกถึงนูหกับสิ่งมีชีวิตทั้งหมด และสัตว์ใช้งานทั้งปวงที่อยู่กับนูหในเรือ จึงทรงทำให้ลมพัดผ่านมาเหนือแผ่นดิน น้ำก็ลดลง 2 น้ำพุของน้ำบาดาลและช่องฟ้าทั้งหลายก็ปิด ฝนจากฟ้าก็หยุด 3 น้ำก็ลดลงจากแผ่นดินเรื่อยๆ เมื่อล่วงไป 150 วันแล้ว น้ำก็ลดระดับลง 4 ณ วันที่สิบเจ็ดของเดือนที่เจ็ด เรือก็ค้างอยู่บนเทือกเขาอารารัต 5 น้ำนั้นลดระดับลงเรื่อยๆ จนถึงเดือนที่สิบ ในวันที่หนึ่งเดือนที่สิบ ก็เห็นบรรดายอดภูเขา

 6 เมื่อครบ 40 วันแล้ว นูหก็เปิดหน้าต่างที่ทำไว้ในเรือ 7 ปล่อยกาไปตัวหนึ่ง กาก็บินไปและบินกลับมา จนน้ำลดแห้งจากแผ่นดิน 8 โนอาห์ก็ปล่อยนกพิราบตัวหนึ่ง เพื่อดูว่าน้ำลดลงไปจากแผ่นดินแล้วหรือยัง 9 แต่นกพิราบนั้นไม่พบที่ที่จะเกาะได้ จึงบินกลับมาหานูหที่เรือเพราะน้ำยังท่วมแผ่นดินอยู่ นูหจึงยื่นมือออกไปจับนกพิราบนั้นมาหาท่านนำเข้าไปในเรือ 10 นูหเฝ้าคอยอยู่อีกเจ็ดวัน จึงปล่อยนกพิราบไปจากเรืออีก 11 เมื่อเวลาเย็นนกพิราบก็กลับมาหานูห และคาบใบมะกอกเขียวสดมาด้วย นูหจึงรู้ว่าน้ำลดจากแผ่นดินแล้ว 12 นูหเฝ้าคอยอยู่อีกเจ็ดวันหลังจากนั้นจึงปล่อยนกพิราบไป นกนั้นไม่กลับมาหานูหอีกเลย

 13 เมื่อถึงวันที่หนึ่งของเดือนที่หนึ่ง ปีที่หกร้อยเอ็ด น้ำก็แห้งจากแผ่นดิน นูหเปิดหลังคาของเรือและมองเห็นว่าพื้นดินแห้ง 14 เมื่อถึงวันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนที่สองแผ่นดินก็แห้งแล้ว 15 พระเจ้าตรัสแก่นูหว่า 16 เจ้าจงออกไปจากเรือ ทั้งภรรยาของเจ้า บุตรชายของเจ้าและบุตรสะใภ้ของเจ้าด้วย 17 จงพาสัตว์ทุกชนิดที่อยู่กับเจ้า ที่มีเลือดเนื้อ คือนก สัตว์ใช้งาน และสัตว์เลื้อยคลานทั้งหมดที่คลานบนดินให้ออกไป เพื่อจะได้แพร่พันธุ์ทวีขึ้นมากมายบนแผ่นดิน 18 นูหก็ออกไปพร้อมกับบุตร ภรรยา และบุตรสะใภ้ 19 สัตว์ทุกชนิดและสัตว์เลื้อยคลานทั้งหมด กับนกและสัตว์ที่เคลื่อนไหวไปมาบนแผ่นดินทั้งหมดก็ออกไปจากเรือตามพันธุ์ของมัน

 20 นูหสร้างแท่นบูชาแด่ยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)และเลือกเอาสัตว์ใช้งานที่สะอาด และนกที่สะอาดมาเผาบูชาถวายที่แท่นนั้น 21 ยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)ทรงได้กลิ่นที่พอพระทัยแล้ว ทรงดำริในพระทัยว่าเราจะไม่สาปแผ่นดินอีกต่อไป แม้ว่ามนุษย์ไม่ดี เพราะเค้าความคิดในใจของมนุษย์ล้วนแต่ร้ายมาตั้งแต่เด็ก เราจะไม่ทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งปวงอีก ดังที่เราได้ทำแล้วนั้น 22 ตราบที่โลกยังมีอยู่ จะมีฤดูหว่านกับฤดูเกี่ยว มีเย็นกับร้อน มีฤดูร้อนกับฤดูหนาว มีวันและคืนตลอดไป

 

ปฐมกาล 9

1 อัลลอฮฺทรงอวยพรนูหและบุตรทั้งหลายของเขา ตรัสแก่พวกเขาว่าจงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน 2 สัตว์ทั้งปวงบนแผ่นดิน นกทั้งปวงบนท้องฟ้า สัตว์ที่เลื้อยคลานทั้งสิ้นบนแผ่นดิน และปลาทั้งสิ้นในทะเลจะกลัวและหวาดหวั่นต่อพวกเจ้า เรามอบสัตว์ทั้งปวงไว้ในมือของพวกเจ้า 3 ทุกสิ่งที่มีชีวิตเคลื่อนไหวไปมาจะเป็นอาหารของเจ้า เราจะยกของทุกอย่างให้แก่เจ้า ดังที่เรายกพืชเขียวสดให้แก่เจ้าแล้ว 4 แต่ห้ามกินเนื้อพร้อมกับชีวิตของมัน คือเลือดของมัน 5 และที่แน่ๆ คือโลหิตที่เป็นชีวิตของพวกเจ้านั้นเราจะทวง เราจะทวงจากมือของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง จากมือของมนุษย์ เราจะทวงชีวิตมนุษย์จากมือของพี่น้องของเขา 6 ใครทำให้มนุษย์โลหิตไหล มนุษย์จะทำให้โลหิตผู้นั้นไหลเหมือนกัน เพราะอัลลอฮฺทรงสร้างมนุษย์ ตามแบบฉายาของพระองค์ 7 พวกเจ้าจงมีลูกทวีมากขึ้น จงอยู่เต็มแผ่นดินโลกและทวีมากขึ้นในนั้น

 8 อัลลอฮฺจึงตรัสแก่นูหและบุตรทั้งหลายว่า 9 นี่แน่ะ เราเองเป็นผู้ตั้งพันธสัญญาของเราไว้กับพวกเจ้า และกับพงศ์พันธุ์ที่มาภายหลังเจ้า 10 และกับบรรดาสัตว์มีชีวิตที่อยู่กับพวกเจ้าด้วย ทั้งนกและสัตว์ใช้งานและสัตว์ป่าทั้งหมดที่อยู่กับพวกเจ้า จากสัตว์ทั้งปวงที่ออกจากเรือ คือสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลก 11 เราจะตั้งพันธสัญญาของเราไว้กับพวกเจ้าว่าจะไม่ทำลายมนุษย์และสัตว์ทั้งปวงโดยให้น้ำท่วมอีก และจะไม่ให้มีน้ำมาท่วมทำลายโลกอีกต่อไป 12 อัลลอฮฺตรัสว่านี่แหละเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญา ซึ่งเราให้ไว้ระหว่างเรากับพวกเจ้า และกับสัตว์มีชีวิตทั้งปวงที่อยู่กับพวกเจ้าสืบไปทุกชั่วอายุ 13 คือเราตั้งรุ้งของเราไว้ที่เมฆ และรุ้งนั้นจะเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาระหว่างเรากับโลก 14 เมื่อเราให้มีเมฆเหนือแผ่นดิน และมีรุ้งปรากฏขึ้นที่เมฆนั้น 15 เราจะระลึกถึงพันธสัญญาของเราที่ทำไว้ระหว่างเรากับพวกเจ้าและกับสิ่งที่มีชีวิต และสัตว์ทั้งปวง แล้วน้ำจะไม่ท่วมทำลายสัตว์ทั้งปวงอีกเลย 16 เมื่อมีรุ้งที่เมฆ เราจะดูรุ้งนั้น เพื่อระลึกถึงพันธสัญญานิรันดร์ระหว่างพระเจ้ากับสิ่งมีชีวิตและสัตว์ทั้งปวงซึ่งอยู่บนแผ่นดิน 17 อัลลอฮฺตรัสแก่นูหว่านี่แหละเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาที่เราได้ตั้งไว้ระหว่างเรากับสัตว์ทั้งปวงซึ่งอยู่บนแผ่นดิน

 18 บุตรของโนอาห์ซึ่งออกมาจากเรือชื่อ เชม ฮาม และยาเฟท ฮามเป็นบิดาของคานาอัน 19 สามคนนี้เป็นบุตรชายของนูห มนุษย์จึงกระจายออกไปทั่วโลกจากคนเหล่านี้

 20 นูหเริ่มเป็นคนทำสวนและปลูกองุ่น 21 แล้วท่านดื่มเหล้าองุ่นและเมา แล้วก็นอนเปลือยกายอยู่กลางเต็นท์ของท่าน 22 ฮามผู้เป็นบิดาคานาอันเห็นบิดาของเขาเปลือยกายอยู่ จึงบอกพี่ชายทั้งสองที่อยู่ภายนอก 23 เชมกับยาเฟทก็เอาผ้าพาดบ่าทั้งสองคนแล้วก็เดินถอยหลังเข้าไปปกปิดกายของบิดาที่เปลือยอยู่ โดยไม่ได้หันหน้าดูบิดาที่เปลือยกายอยู่นั้น 24 เมื่อนูหสร่างเมาแล้ว และรู้ว่าบุตรสุดท้องทำกับท่านอย่างไร 25 จึงพูดว่า

คานาอันจงถูกแช่ง

ให้เป็นทาสต่ำสุดของพี่น้อง

 26 ท่านกล่าวด้วยว่า

สาธุการแด่ยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ) ของเชม

และให้คานาอันเป็นทาสของเขาเถิด

 27 ขออัลลอฮฺทรงเพิ่มพูนยาเฟทให้ทวียิ่งขึ้น

ให้เขาอาศัยอยู่ในเต็นท์ของเชม

และให้คานาอันเป็นทาสของเขาเถิด

 28 หลังน้ำท่วม นูหมีชีวิตต่อไปอีก 350 ปี 29 รวมอายุของโนอาห์ได้ 950 ปี จึงสิ้นชีวิต

 

 

ปฐมกาล 10

 

1 ต่อไปนี้เป็นพงศ์พันธุ์บุตรทั้งหลายของนูห คือ เชม ฮามและยาเฟท ซึ่งมีบุตรสืบมาหลังน้ำท่วม

 2 บุตรของยาเฟทชื่อโกเมอร์ มาโกก มาดัย ยาวาน ทูบัล เมเชค และทิราส 3 บุตรของโกเมอร์ชื่ออัชเคนัส รีฟาท และโทการมาห์ 4 บุตรของยาวานชื่อเอลีชาห์ ทารชิช คิทธิม และโดดานิม 5 จากพงศ์พันธุ์เหล่านี้ประชาชาติตามฝั่งทะเลกระจายไปในแผ่นดินของพวกเขา แต่ละคนตามภาษาตามตระกูลตามชาติของพวกเขา

 6 บุตรของฮามชื่อคูช อียิปต์ พูต และคานาอัน 7 บุตรของคูชชื่อเสบา ฮาวิลาห์ สับทาห์ ราอามาห์ และสับเทคา ส่วนบุตรของราอามาห์ชื่อเชบาและเดดาน 8 คูชมีบุตรชื่อนิมโรด นิมโรดเริ่มเป็นนักรบบนแผ่นดิน 9 นิมโรดเป็นพรานเก่งกล้าเฉพาะพระพักตร์ยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ) เพราะฉะนั้นจึงมีคำกล่าวว่าเหมือนกับนิมโรดพรานเก่งกล้าเฉพาะ ยาห์เวห์ (อัลลอฮฺ)” 10 อาณาจักรแรกๆ ของนิมโรดเริ่มจาก บาเบล เอเรก อัคคัด และคาลเนห์ในแผ่นดินชินาร์ 11 นิมโรดไปจากแผ่นดินนั้นยังอัสซีเรีย และสร้างนีนะเวห์ เรโหโบทอีร์ และคาลาห์ 12 และเรเสน ซึ่งอยู่ระหว่างนีนะเวห์กับคาลาห์ เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่ 13 อียิปต์มีบุตรชื่อลูดิม อานามิม เลหะบิม นัฟทูฮิม 14 ปัทรุสิม คัสลูฮิม (ผู้เป็นต้นตระกูลคนฟีลิสเตีย) และคัฟโทริม

 15 คานาอันมีบุตรชื่อไซดอนเป็นคนหัวปีและเฮท 16 กับคนเยบุส คนอาโมไรต์ คนเกอร์กาชี 17 คนฮีไวต์ คนอารคี คนสินี 18 คนอารวัด คนเศเมอร์ และคนฮามัธ ภายหลังตระกูลของคนคานาอันก็กระจายออกไป 19 เขตของคนคานาอันเริ่มจากไซดอน ไปทางเกราร์ จนถึงกาซา และไปทางโสโดม โกโมราห์ อัดมาห์ และเศโบยิมจนถึงลาชา 20 คนเหล่านี้เป็นพงศ์พันธุ์ของฮาม ตามตระกูล ตามภาษา ตามดินแดน และตามชาติของพวกเขา

 21 ฝ่ายเชมพี่ชายคนโตของยาเฟทก็มีบุตรเช่นกัน และเป็นบิดาของพงศ์พันธุ์เอเบอร์ทั้งหมด 22 บุตรของเชมนั้นชื่อเอลาม อัสชูร อารปัคชาด ลูด และอารัม 23 บุตรอารัมชื่ออูส ฮูล เกเธอร์ และมัช 24 อารปัคชาดมีบุตรชื่อเชลาห์ ส่วนเชลาห์มีบุตรชื่อเอเบอร์ 25 เอเบอร์มีบุตรสองคน คนหนึ่งชื่อเปเลก ด้วยว่าในช่วงอายุของเปเลกนั้น ดินแดนถูกแบ่งกัน และน้องชายของเปเลกชื่อโยกทาน 26 โยกทานมีบุตรชื่ออัลโมดัด เชเลฟ ฮาซารมาเวท เยราห์ 27 ฮาโดรัม อุซาล ดิคลาห์ 28 โอบาล อาบีมาเอล เชบา 29 โอฟีร์ ฮาวิลาห์ และโยบับ คนเหล่านี้เป็นบุตรของโยกทานทั้งนั้น 30 ดินแดนที่พวกเขาอาศัยอยู่เริ่มจากเมชาไปทางเสฟาร์ถึงเทือกเขาทางทิศตะวันออก 31 คนเหล่านี้เป็นพงศ์พันธุ์ของเชม ตามตระกูล ตามภาษา ตามดินแดนและตามชาติของเขา

 32 คนเหล่านี้เป็นพงศ์พันธุ์ที่สืบมาจากบุตรของนูห ตามลำดับพงศ์ ตามชาติของพวกเขา และจากคนเหล่านี้ประชาชาติทั้งหลายในโลกก็กระจายออกไปภายหลังน้ำท่วม 

 

ลูกา

บิสมิลลาฮิรเราะฮ์มานิรรอฮีม

ลูกา 1

         1 ท่านเธโอฟีลัส ที่เคารพยิ่ง ท่านทราบแล้วว่า มีหลายคนได้อุตส่าห์เรียบเรียงเหตุการณ์เหล่านั้นซึ่งสำเร็จแล้วในหมู่พวกเรา 2 ตามที่เขาผู้ได้เห็นกับตาตนเองมาตั้งแต่ต้น และเป็นผู้เผยแผ่พระดำรัสนั้นได้แสดงให้เรารู้ 3 เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงสืบสวนเรื่องเหล่านี้ตั้งแต่แรกอย่างละเอียด แล้วก็เห็นดีด้วยที่จะเรียบเรียงเหตุการณ์ตามลำดับเพื่อท่าน 4 ที่ข้าพเจ้าเขียนไว้นี้ก็เพื่อจะให้ท่านมั่นใจถึงความจริงเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นที่เขาสอนท่าน

การแจ้งข่าวนบียะหฺยากำเนิด

         5 ในสมัยที่กษัตริย์เฮโรดครองแคว้นยูเดีย มีผู้หนึ่งคือนบีซะกะรียาเป็นผู้ประกอบพิธีทางศาสนาอยู่ในหมวดของอาบียาห์ ภรรยาของนบีซะกะรียาชื่อเอลีซาเบธเป็นผู้ที่อยู่ในตระกูลผู้ประกอบพิธีทางศาสนาด้วย       6 ทั้งสองคนดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรมในสายพระเนตรของอัลลอฮฺทำตามธรรมบัญญัติและกฎเกณฑ์ทั้งปวงของพระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่มีที่ติ 7 แต่สามีภรรยาคู่นี้ไม่มีบุตรเพราะเอลีซาเบธเป็นหมัน ทั้งนางและนบีซะกะรียาก็แก่มากแล้ว

         8 วันหนึ่งนบีซะกะรียากำลังปฏิบัติหน้าที่ผู้ประกอบพิธีทางศาสนา ตามหน้าที่ของตนที่ต้องทำเป็นประจำ 9 ท่านจับฉลากตามธรรมเนียมของผู้ประกอบพิธีทางศาสนา ต้องเข้าไปในสถานที่อันบริสุทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อเผาเครื่องหอม 10 ในเวลาเผาเครื่องหอมนั้น กลุ่มประชาชนก็ละหมาดขอดุอาอ์อยู่ภายนอก

         11 ในเวลานั้นมีมลาอิกะฮฺของพระผู้เป็นเจ้ายืนปรากฏอยู่เบื้องขวาของแท่นเผาเครื่องหอม 12 เมื่อนบีซะกะรียาเห็นเข้าก็ตกใจกลัว 13 แต่มลาอิกะฮฺบอกท่านว่า “ซะกะรียา อย่ากลัวไปเลย อัลลอฮฺทรงฟังคำขอดุอาอ์ของท่านแล้ว เอลีซาเบธภรรยาท่านจะมีบุตรชาย จงตั้งชื่อให้เด็กนั้นว่ายะหฺยา 14 ท่านทั้งสองจะยินดียิ่งนัก ทั้งคนอื่นๆ อีกจำนวนมากจะพลอยยินดีไปด้วยที่เด็กนี้เกิดมา 15 เด็กนี้จะเป็นคนสำคัญในสายพระเนตรของพระผู้เป็นเจ้า เขาจะต้องไม่ดื่มสุราหรือน้ำเมา เด็กคนนี้จะเต็มไปด้วยอัลรูฮุลกุดุซูตั้งแต่เกิด 16 เขาจะนำพงศ์พันธุ์ของนบียะอฺกูบมากมายกลับไปหาอัลลอฮฺ ผู้เป็นพระเจ้าของพวกเขา 17 เขาจะเป็นราชทูตของพระองค์อย่างเข้มแข็งและมีอำนาจมากเหมือนนบีอิลยาส เขาจะทำให้พ่อลูกปรองดองกัน และจะทำให้คนดื้อด้านกลับได้ปัญญาของคนชอบธรรม เขาจะเตรียมประชากรของพระผู้เป็นเจ้าไว้พร้อมเพื่อรับพระองค์”

         18 นบีซะกะรียาจึงถามมลาอิกะฮฺว่า “ข้าพเจ้าจะทราบได้อย่างไรว่าจะเป็นจริงดังที่ท่านพูด เพราะข้าพเจ้ากับภรรยาต่างก็แก่มากแล้ว?”

         19 มลาอิกะฮฺยืนยันต่อไปว่า “เราคือมลาอิกะฮฺญิบรออีล เราเฝ้าอัลลอฮฺอยู่ พระองค์ทรงใช้เรามาบอกข่าวดีนี้แก่ท่าน 20 แต่ท่านไม่ยอมศรัทธาคำของเราซึ่งจะเป็นจริงเมื่อถึงกำหนด เพราะท่านไม่เชื่อ ดังนั้น ท่านก็จะเป็นใบ้ไปจนกว่าจะถึงวันนั้นที่เรื่องจะเป็นจริงตามคำของเรา”

         21 ระหว่างนั้นประชาชนคอยนบีซะกะรียาอยู่ ต่างแปลกใจที่ท่านอยู่ในพระวิหารนานเช่นนั้น 22 เมื่อท่านออกมาแล้วกลับพูดไม่ได้ คนทั้งหลายจึงทราบว่าท่านได้เห็นนิมิตในพระวิหาร เพราะท่านทำบุ้ยใบ้พูดอะไรไม่ได้สักคำ

         23 เมื่อพ้นระยะที่ท่านทำหน้าที่ในพระวิหารแล้ว นบีซะกะรียาก็กลับบ้าน 24 ต่อมาเอลีซาเบธภรรยาท่านก็ตั้งครรภ์ ไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนเลยตลอดเวลาห้าเดือน 25 เอลีซาเบธรำพึงว่า “ในที่สุดพระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้าอย่างนี้เอง คือพระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้าไม่ต้องอับอายผู้ใดเพราะการที่ไม่มีบุตร”

 แจ้งข่าวอีซากำเนิด

         26 พอเอลีซาเบธตั้งครรภ์ได้หกเดือน อัลลอฮฺทรงส่งมลาอิกะฮฺญิบรออีลไปเมืองนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลี 27 มลาอิกะฮฺมีข่าวจะแจ้งให้หญิงสาวคนหนึ่งทราบ หญิงสาวพรหมจารีคนนี้ชื่อมัรฺยัมหมั้นกันไว้กับชายผู้หนึ่งชื่อยูสุฟ เป็นเชื้อพระวงค์กษัตริย์ดาวูด 28 มลาอิกะฮฺมาหานางแจ้งว่า “จงอยู่เป็นสุขเถิด พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่กับเธอแล้วและทรงโปรดปรานเธอยิ่งนัก”

         29 ถ้อยคำของมลาอิกะฮฺทำให้มัรฺยัมรู้สึกฉงนเป็นอย่างยิ่ง นางแปลกใจว่า ที่มลาอิกะฮฺกล่าวนั้นหมายถึงอะไร 30 มลาอิกะฮฺชี้แจงแก่นางว่า “อย่ากลัวไปเลยมัรฺยัม อัลลอฮฺทรงเมตตาเธอแล้ว 31 เธอจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่า อีซา 32 บุตรของเธอนี้จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ จะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของผู้สูงสุด พระผู้เป็นเจ้าคืออัลลอฮฺจะทรงตั้งให้ท่านเป็นกษัตริย์ เช่นเดียวกับกษัตริย์ดาวูด บรรพบุรุษของท่าน 33 และท่านจะเป็นกษัตริย์ของบรรดาวงศ์วานของนบียะอฺกูบตลอดไป อาณาจักรของท่านจะยั่งยืนอยู่ตลอดกาล”

         34 มัรฺยัมตอบมลาอิกะฮฺว่า “ข้าพเจ้าเป็นสาวพรหมจารี จะเป็นดังที่ท่านพูดได้อย่างไรเล่า?”

         35 มลาอิกะฮฺชี้แจงว่า “อัลรูฮุลกุดุซูจะทรงลงมายังท่าน และฤทธานุภาพของผู้สูงสุดจะอยู่กับท่าน ด้วยเหตุนี้แหละ บุตรที่เกิดมานั้นจะบริสุทธิ์ และจะได้ชื่อว่า บุตรของอัลลอฮฺ 36 จำญาติของท่านที่ชื่อเอลีซาเบธได้ไหม เขาพูดกันว่านางเป็นหมัน แต่นางยังตั้งครรภ์ได้หกเดือน ทั้งๆ ที่นางเองก็แก่มากแล้ว 37 ทั้งนี้แสดงว่าไม่มีอะไรที่อัลลอฮฺทรงกระทำไม่ได้”

         38 มัรฺยัมกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นบ่าวของพระผู้เป็นเจ้า ขอให้เป็นดังที่ท่านพูดนั้นเถิด” แล้วมลาอิกะฮฺก็จากไป

มัรฺยัมไปเยี่ยมเอลีซาเบธ

         39 หลังจากนั้นไม่นาน มัรฺยัมก็รีบจัดแจงเตรียมตัวไปเมืองภูเขาที่อยู่ในแคว้นยูเดีย 40 แล้วเข้าไปในบ้านของนบีซะกะรียาเพื่อแสดงความยินดีต่อเอลีซาเบธ 41 เมื่อเอลีซาเบธได้ยินเสียงมัรฺยัมทักทาย เด็กที่อยู่ในครรภ์ก็ดิ้น เอลีซาเบธเต็มไปด้วยอัลรูฮุลกุดุซู 42 นางก็พูดขึ้นดังๆ ว่า “เธอเป็นหญิงที่ได้รับพรมากยิ่งกว่าหญิงทั้งปวง ทั้งทารกที่จะมาเกิดกับเธอจะเป็นผู้ที่อัลลอฮฺทรงโปรดปรานมากด้วย 43 ทำไมเหตุการณ์สำคัญนี้จึงเกิดขึ้นแก่ฉันเล่า? คือมารดาของท่านผู้เป็นเจ้านายของฉันมาเยี่ยมเยียนฉัน 44 พอฉันได้ยินเสียงเธอเท่านั้น ทารกในครรภ์ของฉันก็ดิ้นด้วยความยินดี 45 เธอจะต้องสุขใจอย่างมากที่ศรัทธาว่าพระดำรัสของพระผู้เป็นเจ้าจะเป็นความจริง”

มัรฺยัมร้องเพลงสรรเสริญอัลลอฮฺ

         46 มัรฺยัมจึงสรรเสริญอัลลอฮฺว่า “จิตใจของข้าพเจ้าก็ยกย่องพระผู้เป็นเจ้า 47 และจิตวิญญาณของข้าพเจ้าก็เกิดความยินดีในอัลลอฮฺผู้ทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอด 48 เพราะพระองค์ทรงห่วงใยฐานะอันยากต่ำของบ่าวของพระองค์ เพราะนั่นแหละ ตั้งแต่นี้ไปคนทุกชั่วอายุจะเรียกข้าพเจ้าว่าผาสุก 49 เพราะว่าผู้ทรงอานุภาพยิ่งได้ทรงกระทำการใหญ่เพื่อข้าพเจ้า พระนามของพระองค์ก็บริสุทธิ์ 50 ความเมตตาของพระองค์มีแก่บรรดาผู้ยำเกรงพระองค์ทุกชั่วอายุสืบไป 51 พระองค์ทรงสำแดงอานุภาพด้วยพระกรของพระองค์ พระองค์ทรงกระทำให้คนที่มีใจเย่อหยิ่งกระจัดกระจายไป 52 พระองค์ทรงถอดเจ้านายจากบัลลังก์และพระองค์ทรงยกผู้น้อยขึ้น 53 พระองค์ทรงโปรดให้คนอดอยากอิ่มด้วยสิ่งดีและทรงกระทำให้คนมั่งมีไปมือเปล่า 54 พระองค์ทรงช่วยบ่าวของพระองค์คือพงศ์พันธุ์ของนบียะอฺกูบ พระองค์ทรงจดจำความเมตตาของพระองค์ 55 ที่มีต่อนบีอิบรอฮีม และต่อพงศ์พันธุ์ของท่านเป็นนิตย์ ตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้กับบรรพบุรุษของเรา” 56 มัรฺยัมพักอยู่กับเอลีซาเบธได้สามเดือนแล้วจึงกลับไปบ้าน

การเกิดของนบียะหฺยา

         57 ในที่สุด เอลีซาเบธก็ให้กำเนิดบุตรชาย 58 พวกเพื่อนบ้านและญาติพี่น้องได้ยินว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงเมตตาต่อนางเป็นอย่างมาก ต่างก็พลอยยินดีไปกับนางด้วย 59 ครั้นถึงวันที่แปด เขาก็ให้เด็กนั้นเข้าพิธีสุหนัต แล้วจะตั้งชื่อเด็กนั้นว่า ซะกะรียา ตามชื่อบิดา 60 แต่ผู้เป็นมารดาไม่ยอม นางกล่าวว่า “ไม่ใช่ เขาจะต้องชื่อยะหฺยา”

         61 พวกเขาพูดกับนางว่า “แต่ท่านไม่มีญาติพี่น้องสักคนเดียวที่ชื่อนั้น” 62 แล้วเขาก็ทำบุ้ยใบ้ถามบิดาของทารกนั้นว่า จะให้เด็กนั้นชื่ออะไรดี          63 นบีซะกะรียาขอให้เอากระดานมาเขียนว่า “ชื่อว่ายะหฺยา” ทุกคนแปลกใจยิ่งนัก 64 ขณะนั้นเอง นบีซะกะรียาก็กลับพูดได้อีก ท่านออกปากสรรเสริญอัลลอฮฺ 65 เพื่อนบ้านทุกคนพากันหวาดกลัวมาก ข่าวนี้ลือกันไปทั่วเมืองภูเขาในแคว้นยูเดีย 66 คนที่ได้ยินเรื่องราวก็ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้และถามกันว่า “เด็กนี้โตขึ้นจะเป็นอย่างไรหนอ?” เพราะพวกเขาเห็นได้ชัดว่าอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่กับทารกนี้

นบีซะกะรียาเผยพระดำรัส

         67 นบีซะกะรียาผู้เป็นบิดาของนบียะหฺยาเต็มไปด้วยอัลรูฮุลกุดุซู จึงเผยพระดำรัสว่า 68 “จงสรรเสริญอัลลอฮฺพระเจ้าของพงศ์พันธุ์ของนบียะอฺกูบ เพราะว่าพระองค์ทรงเยี่ยมเยียนและปลดปล่อยประชากรของพระองค์ให้เป็นอิสระจากบาป 69 และได้ทรงให้ผู้ช่วยที่ทรงอำนาจเกิดมาในวงศ์วานของนบีดาวูดบ่าวของพระองค์ 70 ตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้ตั้งแต่โบราณโดยปากของบรรดานบีบริสุทธิ์ 71 คือทรงให้รอดพ้นจากบรรดาศัตรูของพวกเรา และพ้นจากเงื้อมมือของทุกคนที่เกลียดชังเรา 72 ดังนั้นจึงทรงสำแดงความเมตตาซึ่งทรงสัญญาแก่บรรพบุรุษของเรา และทรงระลึกถึงพันธสัญญาบริสุทธิ์ของพระองค์ 73 คือคำปฏิญาณซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำไว้กับนบีอิบรอฮีมบรรพบุรุษของเราว่า 74 เมื่อพวกเราพ้นจากเงื้อมมือบรรดาศัตรูของเราแล้ว จะทรงโปรดให้เรารับใช้พระองค์โดยปราศจากความกลัว 75 ด้วยความบริสุทธิ์และด้วยความชอบธรรมในสายพระเนตรของพระองค์ตลอดชีวิตของเรา

         76 “ทารกเอ๋ย เขาจะเรียกท่านว่านบีของผู้สูงสุด เพราะว่าท่านจะไปล่วงหน้า และจัดเตรียมทางไว้ให้พระผู้เป็นเจ้า 77 เพื่อจะให้ประชากรของพระองค์มีความรู้ถึงความรอดที่มาทางการทรงยกโทษบาปของพระองค์แก่พวกเขา 78 โดยพระทัยเมตตา กรุณาของพระเจ้าของเรา แสงอรุณจากเบื้องสูงจึงมาเยี่ยมเยียนเรา 79 ส่องสว่างแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในความมืดและในเงาแห่งความมรณะ เพื่อจะนำเท้าของเราไปในทางสันติสุข”

         80 ทารกนั้นเจริญวัยขึ้นและมีจิตใจเข้มแข็ง เขาไปอยู่ตามถิ่นกันดาร จนถึงวันที่เขาปรากฏตัวต่อหน้าพงศ์พันธุ์ของนบียะอฺกูบ

ลูกา 2

การเกิดของอีซา

         1 ในเวลานั้น จักรพรรดิออกัสตัสรับสั่งให้ราษฎรทุกคนในอาณาจักรโรมไปลงทะเบียนสำมะโนประชากร 2 การจดทะเบียนครั้งแรกนี้ทำในสมัยที่คีรินิอัสเป็นเจ้าเมืองซีเรีย 3 ทุกคนต้องไปลงทะเบียนที่บ้านเกิดเมืองนอนของตน

         4 ยูสุฟไปจากเมืองนาซาเร็ธแคว้นกาลิลีสู่เมืองบัยติละฮัมในแคว้นยูเดีย อันเป็นเมืองที่กษัตริย์ดาวูดประสูติ ที่ต้องไปที่นั่นก็เพราะยูสุฟเป็นเชื้อพระวงศ์กษัตริย์ดาวูด 5 เขาไปลงทะเบียนกับมัรฺยัมซึ่งได้หมั้นกันไว้แล้ว ขณะนั้นมัรฺยัมกำลังตั้งครรภ์ 6 แล้วในระหว่างที่เขาอยู่ในเมืองบัยติละฮัมก็ถึงกำหนดเวลาที่มัรฺยัมจะคลอดบุตร 7 นางก็ได้คลอดบุตรชายหัวปี นางเอาผ้าพันกายทารกแล้ววางไว้ในรางหญ้า เนื่องจากตามบ้านพักซึ่งมีห้องเช่าไม่มีที่ว่าง

คนเลี้ยงแกะกับมลา อิกะฮฺ

         8 มีพวกเลี้ยงแกะอยู่นอกเมืองกำลังเฝ้าแกะอยู่ที่ทุ่งนาในคืนนั้น 9 มลาอิกะฮฺองค์หนึ่งของพระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่เขา พระรัศมีของพระผู้เป็นเจ้าส่องเหนือพวกเขา เขาตกใจกลัวมาก 10 แต่มลาอิกะฮฺปลอบเขาว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเรานำข่าวดีมาบอกพวกท่าน เป็นข่าวที่ทุกคนจะชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง คือว่า 11 คืนนี้เอง ในเมืองของนบีดาวูด มีผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลายมากำเนิด ท่านนั้นเป็นอัล-มะซีฮฺผู้เป็นเจ้านาย 12 นี่จะเป็นหลักฐานให้พวกท่านแน่ใจคือ พวกท่านจะพบทารกมีผ้าพันกายนอนอยู่ในรางหญ้า”

         13 ทันใดนั้น มลาอิกะฮฺอีกจำนวนมากมาสมทบกับมลาอิกะฮฺองค์นั้น ร้องเพลงสรรเสริญอัลลอฮฺว่า 14 “พระเกียรติจงมีแด่อัลลอฮฺในสรวงสวรรค์ชั้นสูงส่งส่วนบนแผ่นดินโลก สันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวงซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานนั้น”

         15 เมื่อมลาอิกะฮฺกลับไปสรวงสวรรค์แล้ว พวกเลี้ยงแกะก็ชวนกันว่า “ให้เราไปเมืองบัยติละฮัมกันเถิด จะได้ดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามที่พระผู้เป็นเจ้าตรัสผ่านทางมลาอิกะฮฺให้แก่เรา” 16 เขาจึงรีบพากันไป พบมัรฺยัมกับยูสุฟ และเห็นทารกนอนอยู่ในรางหญ้า

         17 เมื่อพวกเลี้ยงแกะพบแล้ว ก็ได้เล่าให้มัรฺยัมและยูสุฟฟังตามที่มลาอิกะฮฺบอกนั้น 18 ทุกคนที่ได้ฟังต่างก็อัศจรรย์ใจในเรื่องที่คนเลี้ยงแกะเล่า 19 มัรฺยัมจำเรื่องทั้งหมดนี้ไว้ แล้วใคร่ครวญดู

         20 ส่วนพวกเลี้ยงแกะกลับไปพลางร้องเพลงสรรเสริญอัลลอฮฺในเหตุการณ์ที่เขาเห็นและได้ยินมา ซึ่งก็เหมือนที่มลาอิกะฮฺบอกเขาไว้ทุกประการ เขาขนานนามทารกว่าอีซา

         21 เมื่อครบแปดวันแล้ว ถึงเวลาที่จะให้ทารกนั้นเข้าพิธีสุหนัต เขาก็ตั้งชื่อทารกว่า อีซา ตามที่มลาอิกะฮฺสั่งไว้ก่อนที่มัรฺยัมจะตั้งครรภ์ บิดามารดามอบอีซาแด่อัลลอฮฺในพระวิหาร

         22 เมื่อถึงเวลาที่ยูสุฟกับมัรฺยัมจะต้องทำพิธีชำระร่างกายตามธรรมบัญญัติในคัมภีร์เตารอฮฺของนบีมูซา เขาก็พาทารกไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อปรากฏตัวและมอบแด่พระผู้เป็นเจ้า 23 ตามที่ธรรมบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าเขียนไว้ว่า “บุตรชายทุกคนที่เบิกครรภ์ครั้งแรก จะได้ชื่อว่าเป็นบุตรที่มอบแด่พระผู้เป็นเจ้า” 24 เขายังได้ทำกุรฺบานอีกด้วย ตามธรรมบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า คือนกเขารุ่นๆ หนึ่งคู่หรือนกพิราบหนุ่มสองตัว

         25 มีชายคนหนึ่งชื่อสิเมโอนอาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม ท่านเป็นคนชอบธรรมและเกรงกลัวอัลลอฮฺ และกำลังรอคอยเวลาที่พระองค์จะทรงมาช่วยพงศ์พันธุ์ของนบียะอฺกูบให้รอด อัลรูฮุลกุดุซูทรงอยู่กับท่านผู้นี้ 26 แล้วทรงยืนยันแก่ท่านว่า ท่านจะไม่ตายจนกว่าจะได้เห็นอัล-มะซีฮฺของพระผู้เป็นเจ้า

         27 รุฮุลลอฮ์ทรงนำสิเมโอนเข้าไปในพระวิหาร พอยูสุฟและมัรฺยัมนำอีซาเข้าไปในพระวิหารเพื่อปฏิบัติตามธรรมเนียมแห่งธรรมบัญญัติ 28 สิเมโอนก็อุ้มทารกขึ้นขอชุโกธต่ออัลลอฮฺว่า 29 “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้พระองค์ทรงให้บ่าวของพระองค์ไปเป็นสุขตามพระดำรัสของพระองค์ 30 เพราะว่าตาของบ่าวได้เห็นความรอดของพระองค์แล้ว 31 ซึ่งพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมไว้ต่อหน้าชนชาติทั้งหลาย 32 เป็นความสว่างที่ส่องแก่คนต่างชาติ และเป็นศักดิ์ศรีของพงศ์พันธุ์ของนบียะอฺกูบชนชาติของพระองค์”

         33 ยูสุฟและมัรฺยัมต่างรู้สึกแปลกใจในสิ่งที่สิเมโอนกล่าวถึงทารกนั้น 34 สิเมโอนขอดุอาอ์ให้คนทั้งสอง และบอกแก่มัรฺยัมผู้เป็นมารดาว่า “อัลลอฮฺทรงเลือกสรรทารกนี้เพื่อเป็นเหตุให้หลายคนในพงศ์พันธุ์ของนบียะอฺกูบล้มลง และให้อีกหลายคนรอดทั้งจะเป็นหมายสำคัญซึ่งคนเป็นอันมากจะต่อต้าน 35 แล้วจะเปิดเผยความคิดในใจของพวกเขา ส่วนท่านความทุกข์นั้นจะเป็นเหมือนดาบคมกริบ ทำลายดวงจิตของท่านให้แตกสลายไป”

         36 ที่นั่นมีหญิงชื่ออันนา ชึ่งเป็นนบีคนหนึ่ง นางเป็นธิดาของฟานูเอลในสกุลอาเชอร์ นางชรามากแล้ว นางแต่งงานได้แค่เจ็ดปี 37 แล้วก็เป็นม่ายมาจนถึงอายุแปดสิบสี่ปี นางไม่เคยออกไปจากพระวิหารเลย ทุกวันคืนนางเข้าเฝ้าอัลลอฮฺ ถือศีลอดอาหารและขอดุอาอ์ 38 ในขณะนั้น นางก็เข้ามาขอชุโกธต่ออัลลอฮฺ และพูดถึงทารกนั้นกับทุกคนที่กำลังรอคอยเวลาที่อัลลอฮฺจะทรงช่วยกู้กรุงเยรูซาเล็ม

กลับไปนาซาเร็ธ

         39 เมื่อยูสุฟกับมัรฺยัมปฏิบัติทุกสิ่งตามธรรมบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าเสร็จแล้ว ก็ไปแคว้นกาลิลี กลับสู่เมืองนาซาเร็ธภูมิลำเนาเดิมของท่าน 40 ส่วนทารกนั้นเจริญวัยขึ้นเป็นเด็กแข็งแรงประกอบไปด้วยสติปัญญา อัลลอฮฺทรงโปรดปรานท่านมาก

อีซาในพระวิหารเมื่ออายุสิบสองปี

         41 ทุกปีบิดามารดาของอีซาจะไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อฉลองเทศกาลปัสกา 42 เมื่ออีซาอายุได้สิบสองปี พวกเขาก็พากันไปงานฉลองนี้ตามปกติ 43 พองานเลิกแล้วก็กลับบ้าน แต่บิดามารดาไม่ทราบว่าอีซายังอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม 44 คิดว่าท่านอยู่ในกลุ่มผู้ที่เดินทางกลับด้วยกัน ดังนั้น เขาจึงเดินทางล่วงไปได้วันหนึ่งแล้ว จึงเที่ยวมองหาอีซาในหมู่พวกญาติและเพื่อนฝูง 45 แต่ก็ไม่พบ จึงได้ย้อนกลับไปตามหาที่กรุงเยรูซาเล็ม 46 ในวันที่สามก็พบท่านนั่งอยู่ในกลุ่มอาจารย์ในพระวิหาร กำลังฟังบรรดาอาจารย์เล่าแล้วซักถาม 47 บรรดาผู้ที่ได้ฟังต่างประหลาดใจที่ท่านตอบอย่างฉลาดเฉลียว 48 บิดามารดาของท่านก็ประหลาดใจที่ได้เห็นดังนั้น มัรฺยัมจึงกล่าวว่า “ลูกเอ๋ย ทำไมจึงทำอย่างนี้ พ่อกับแม่เที่ยวตามหาเจ้าด้วยความห่วงใยแทบแย่”

49 อีซาตอบว่า “ทำไมต้องตามหาลูกให้ลำบาก? พ่อกับแม่ไม่ทราบหรือว่าลูกจะต้องทำงานของบิดาของลูก?” 50 แต่ทั้งยูสุฟและมัรฺยัมไม่เข้าใจว่าคำซึ่งอีซากล่าวแก่เขาทั้งสองหมายถึงอะไร 51 ดังนั้น อีซาก็กลับไปเมืองนาซาเร็ธ และเชื่อฟังบิดามารดา มัรฺยัมเก็บเรื่องทั้งหมดนี้ไว้ในใจ 52 ส่วนอีซาเจริญขึ้นทั้งร่างกายและสติปัญญา เป็นที่โปรดปรานของอัลลอฮฺและคนทั้งปวง

ลูกา 3

การประกาศของนบียะหฺยา

         1 ขณะที่จักรพรรดิทิเบริอัสครองราชย์เป็นปีที่สิบห้า เป็นช่วงที่ปอนทิอัสปีลาตเป็นเจ้าเมืองยูเดีย ส่วน    เฮโรดนั้นครองแคว้นกาลิลี ฟีลิปพี่ชายของเฮโรดปกครองดินแดนอิทูเรียและตราโคนิติสลีซาเนียสเป็นเจ้าครองแคว้นอาบีเลน 2 อันนาสและคายาฟาสเป็นหัวหน้าทางศาสนา ในเวลานี้เองนบียะหฺยาบุตรชายของนบี  ซะกะรียาได้รับพระดำรัสของอัลลอฮฺขณะที่อาศัยอยู่ในถิ่นกันดาร 3 ดังนั้นนบียะหฺยาจึงออกไปทั่วเขตแม่น้ำจอร์แดน ประกาศว่า “จงกลับใจใหม่และรับบัพติศมาเพื่ออัลลอฮฺจะได้อภัยบาปให้พวกท่าน”

         4 นี่ก็เป็นไปตามที่นบียะฮฺซยาเขียนไว้ในคัมภีร์ของท่านว่า “มีผู้หนึ่งร้องตะโกนในถิ่นกันดารว่า จงทำทางให้ตรงเพื่อเตรียมรับเสด็จพระผู้เป็นเจ้า 5 จงถมที่ลุ่มทุกแห่งให้เต็ม ปราบเนินเขาและภูเขาทุกแห่งให้ราบ ถนนไหนคดเคี้ยวต้องทำให้ตรงไป ทางขรุขระก็ต้องปราบให้เรียบ 6 และทุกคนจะเห็นความรอดที่ อัลลอฮฺทรงส่งมา”

         7 คนมากมายมาหานบียะหฺยาเพื่อรับบัพติศมาจากท่าน นบียะหฺยาจึงกล่าวแก่พวกเขาว่า “เจ้าชาติงูร้าย ใครเตือนเจ้าให้หนีจากพระอาชญาที่กำลังจะมาถึง 8 จงประพฤติตนให้เห็นว่าเจ้ากลับใจใหม่แล้ว อย่ามัวแต่พูดกันว่า ‘นบีอิบรอฮีมเป็นบรรพบุรุษของเรา’ เราขอเตือนพวกเจ้าว่า อัลลอฮฺทรงสามารถที่จะทำให้ก้อนหินเหล่านี้เป็นลูกหลานของนบีอิบรอฮีมได้ 9 ขวานนั้นพร้อมที่จะโค่นต้นไม้จนถึงรากอยู่แล้ว ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องถูกโค่นเผาไฟ”

         10 คนทั้งปวงได้ยินดังนั้นก็พากันถามว่า “เราจะทำอย่างไรดีเล่า?” 11 นบียะหฺยาชี้แจงว่า “ใครที่มีเสื้อสองตัว จงเอาตัวหนึ่งให้คนที่ไม่มี และคนที่มีอาหาร จงแบ่งปันให้คนอดอยาก”

         12 มีคนเก็บภาษีมาหายะหฺยาขอรับบัพติศมา เขาถามว่า “อาจารย์ พวกข้าพเจ้าจะทำอย่างไรดี?”

         13  “อย่าเก็บภาษีเกินพิกัดซิ”   นบียะหฺยาอธิบาย

         14 ทหารบางคนถามนบียะหฺยาว่า “แล้วพวกเราเล่า จะให้เราทำอย่างไร?” นบียะหฺยาตอบว่า “อย่าบังคับขู่เข็ญเอาเงินจากผู้ใดหรือใส่ร้ายเขา จงพอใจกับค่าจ้างที่ตนได้รับ”

         15 ประชาชนใจชื้นขึ้น ต่างคิดใคร่ครวญว่า นบียะหฺยาอาจจะเป็นอัล-มะซีฮฺก็ได้ 16 ดังนั้น นบียะหฺยาจึงชี้แจงแก่พวกเขาว่า “เราให้พวกเจ้ารับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่ท่านผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าเรามากนักจะมา ท่านจะให้พวกเจ้ารับบัพติศมาด้วยอัลรูฮุลกุดุซูและไฟ เราเองยังไม่คู่ควรแม้จะแก้สายรองเท้าให้ท่าน 17 ท่านถือพลั่วฝัดแกลบออกจากข้าวสาลี แล้วเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉาง แต่ส่วนแกลบนั้นจะเอาไปเผาทิ้งเสียในกองไฟที่ไม่รู้จักดับ”

         18 เหตุฉะนี้ นบียะหฺยาจึงตักเตือนประชาชนอีกหลายประการด้วยวิธีต่างๆ ในขณะที่ท่านเผยแผ่ข่าวดี 19 ท่านตำหนิเฮโรดผู้เป็นเจ้าเมืองเพราะเฮโรดแต่งงานกับนางเฮโรเดียสซึ่งเป็นภรรยาของน้องชายต่างมารดาของเฮโรด และท่านตำหนิการชั่วต่างๆ ที่เฮโรดได้กระทำ 20 เฮโรดจึงทำสิ่งที่ร้ายที่สุดก็คือ สั่งจับนบียะหฺยาขังคุก

อีซารับบัพติศมา*

         21 หลังจากที่ประชาชนรับบัพติศมาแล้ว อีซาก็รับบัพติศมานี้ด้วย ขณะที่ท่านขอดุอาอ์อยู่ 22 ท้องฟ้าก็เปิดออก อัลรูฮุลกุดุซูทรงปรากฏและลงมาเหนือท่านเหมือนนกพิราบ และมีพระสุรเสียงมาจากฟ้าว่า “ท่านเป็นบุตรของเรา เราพอใจท่านมาก”

ลำดับวงศ์ของอีซา

         23 เมื่ออีซาเริ่มงานของท่าน ท่านมีอายุได้ราวๆ สามสิบปี คนทั้งหลายเข้าใจว่า อีซาเป็นบุตรของยูสุฟ  ยูสุฟสืบเชื้อสายจากเฮลี 24 จากมัทธัต จากเลวี จากเมลคี จากยันนาย จากยูสุฟ  25 จากมัทธาธีอัส    จากอาโมส จากนาฮูม จากเอสลี จากนักกาย 26 จากมาอาท จากมัทธาธีอัส จากเสเมอิน จากโยเสค จากโยดา   27 จากโยอานัน จากเรซา จากเศรุบบาเบล จากเชอัลทิเอล จากเนรี 28 จากเมลคี จากอัดดี จากโคสัม จากเอลมาดัม จากเอร์ 29 จากโยชูวา จากเอลีเยเซอร์ จากโยริม จากมัทธัต จากเลวี 30 จากสิเมโอน จากยูดาห์ จากยูสุฟ จากโยนาม 31 จากเอลียาคิม จากเมเลอา จากเมนนา จากมัทตะธา จากนาธัน จากนบีดาวูด 32 จากเจสซี   จากโอเบด   จากโบอาส   จากสัลโมน   จากนาโชน 33 จากอัมมีนาดับ จากอัดมิน จากอารนี จากเฮสโรน จากเปเรศ จากยูดาห์ 34 จากนบียะอฺกูบ จากนบีอิสหาก จาก นบีอิบรอฮีม จากเทราห์ จากนาโฮร์ 35 จากเสรุก จากเรอู จากเปเลก จากเอเบอร์ จากเชลาห์ 36 จากไคนาน จากอารฟาซัด จากเชม จากนบีนูหฺ จากลาเมค 37 จากเมธูเสลาห์ จากนบีอิดรีส จากยาเรด จากมาหะลาเลล จากเคนัน 38 จากเอโนช จากเสท จากนบีอาดัม จากอัลลอฮฺ

ลูกา 4

อีซาถูกอิบลิสสล่อลวง

         1 เมื่ออีซากลับจากแม่น้ำจอร์แดน ท่านเต็มไปด้วยอัลรูฮุลกุดุซู และรุฮุลลอฮ์ทรงนำท่านเข้าไปในถิ่นกันดาร 2 ที่ซึ่งอิบลิสมาล่อลวงท่านอยู่ถึงสี่สิบวัน ตลอดเวลานั้นอีซามิได้รับประทานอะไรเลย เมื่อพ้นเวลานั้นไปแล้ว จึงหิวมาก 3 อิบลิสจึงพูดกับท่านว่า      “ถ้าท่านเป็นบุตรของอัลลอฮฺ จงสั่งก้อนหินนี้ให้กลายเป็นขนมปังซิ”

         4 อีซาตอบว่า “ในอัลกิตาบมีเขียนไว้ว่า ‘เพียงแต่อาหารอย่างเดียวไม่ทำให้มนุษย์มีชีวิตอยู่ได้’” 5 แล้วอิบลิสพาท่านขึ้นไปบนที่สูง และสำแดงให้ท่านเห็นอาณาจักรต่างๆ ของโลกดุนยาในชั่วพริบตาเดียว  6 อิบลิสพูดว่า “ข้าจะมอบอำนาจและบรรดาความรุ่งโรจน์ทั้งหมดนี้ให้ท่าน ข้ารับสิ่งเหล่านี้มา ข้าจะเลือกมอบให้ใครก็ได้ 7 ทั้งหมดนี้จะเป็นของท่านถ้าท่านจะยอมก้มกราบต่อข้า”

         8 อีซาตอบมันว่า “ในอัลกิตาบมีเขียนไว้ว่า ‘จงก้มกราบอัลลอฮฺผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และรับใช้พระองค์แต่ผู้เดียว’ ” 9 แล้วอิบลิสพาท่านไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ให้ท่านยืนอยู่บนยอดหลังคาของพระวิหาร แล้วพูดกับท่านว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของอัลลอฮฺ จงกระโดดลงไปเถิด 10 เพราะในอัลกิตาบมีเขียนไว้ว่า     ‘พระองค์จะสั่งให้บรรดามลาอิกะฮฺมาคอยพิทักษ์ท่านไว้    11     เหล่ามลาอิกะฮฺจะเอามือประคองท่านไว้ เพื่อที่ว่าแม้แต่เท้าของท่านก็จะไม่เจ็บเมื่อกระทบหิน’ ”

         12 อีซาตอบมันว่า    “ในอัลกิตาบมีกล่าวไว้ว่า    ‘อย่าทดลองอัลลอฮฺ ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน’ ”

         13 เมื่ออิบลิสทดลองอีซาสิ้นทุกประการแล้ว จึงละท่านไปจนกว่าจะถึงโอกาสเหมาะ

อีซาเริ่มงานในแคว้นกาลิลี

         14 หลังจากนั้น อีซากลับไปแคว้นกาลิลี ฤทธานุภาพของรุฮุลลอฮ์ทรงอยู่กับท่าน กิตติศัพท์ของท่านจึงเป็นที่เล่าลือไปทั่วแว่นแคว้นนั้น          15 ท่านสอนตามธรรมศาลาต่างๆ ทุกคนที่ได้ฟังต่างให้เกียรติชมเชยท่าน

ชาวนาซาเร็ธไม่ยอมรับอีซา

         16 แล้วอีซาไปเมืองนาซาเร็ธซึ่งเป็นเมืองที่ท่านเจริญวัย ในวันบริสุทธิ์ท่านไปยังธรรมศาลาเช่นเคย และยืนขึ้นจะอ่านอัลกิตาบ 17 ก็มีผู้ส่งคัมภีร์นบียะฮฺซยาให้ท่าน  อีซาคลี่ม้วนคัมภีร์นั้นออก พบข้อความที่เขียนไว้ว่า 18 “รุฮุลลอฮ์ของพระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเลือกข้าพเจ้าให้มาเผยแผ่ข่าวดีแก่คนยากจน  พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย และให้คนตาบอดกลับมองเห็นได้ ให้ผู้ที่ถูกกดขี่กลับมีเสรี 19 และให้ประกาศเรื่องเวลาที่พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยประชากรของพระองค์ให้รอด”

         20 อีซาม้วนคัมภีร์นั้นส่งคืนให้ผู้ที่ดูแลรักษาไว้แล้วนั่งลง บรรดาผู้ที่อยู่ในธรรมศาลาต่างจับตาดูท่าน 21 ท่านจึงอธิบายว่า “วันนี้ก็เป็นจริงตามที่เขียนไว้ในคัมภีร์ตอนนี้ ดังที่พวกท่านได้ยินแล้ว”

         22 ทุกคนรู้สึกจับใจในถ้อยคำที่ท่านกล่าว และประหลาดใจที่ท่านกล่าวได้อย่างน่าฟังต่างพูดกันว่า “เอ๊ะนี่ลูกชายยูสุฟไม่ใช่หรือ?”

         23 อีซากล่าวแก่พวกเขาว่า “เรารู้ว่าพวกท่านคงอ้างสุภาษิตนี้แก่เราว่า ‘ให้หมอรักษาตัวเองเสียก่อนเถิด’ แล้วพูดกับเราอีกว่า ‘ไหนลองทำสิ่งที่ท่านทำในเมืองคาเปอรนาอุมให้คนในบ้านเมืองของท่านดูบ้างซิ’ 24 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ไม่มีนบีคนใดได้รับการต้อนรับในเมืองของตนเลย 25 “จงฟังไว้เถิดว่า เป็นความจริงที่มีหญิงม่ายชาวอิสรออีลหลายคนในสมัยนบีอิลยาส เมื่อฝนไม่ตกตลอดเวลาสามปีครึ่งนั้น ทำให้ทั่วประเทศอดอยาก 26 ถึงกระนั้นอัลลอฮฺก็มิได้ทรงใช้นบีอิลยาสไปหาใครในประเทศอิสรออีล แต่ไปหาหญิงม่ายในเมืองศาเรฟัทเขตแดนเมืองไซดอนเพียงคนเดียว 27 มีคนโรคเรื้อนมากมายในประเทศอิสรออีลสมัยนบีอัลยะซะอฺ แต่ก็ไม่มีใครหายโรคนอกจากนาอามานชาวเมืองซีเรียเพียงคนเดียว”

         28 เมื่อคนทั้งหลายที่อยู่ในธรรมศาลาได้ยินท่านกล่าวเช่นนี้ก็พากันโกรธเคือง 29 ต่างลุกฮือขึ้นลากอีซาออกจากเมืองนำไปยังยอดเขาที่เมืองนั้นตั้งอยู่ด้วยเจตนาจะผลักท่านให้ตกหน้าผา 30 แต่ท่านฝ่าฝูงชนไปตามทางของท่าน

ชายที่ถูกชัยฏอนเข้าสิง

         31 แล้วอีซาไปเมืองคาเปอรนาอุมในแคว้นกาลิลี ที่ซึ่งท่านสอนประชาชนในวันบริสุทธิ์ 32 คนทั้งหลายต่างแปลกใจในการสอนของท่าน เพราะคำสั่งสอนของท่านมีอำนาจ 33 มีชายผู้หนึ่งที่ถูกชัยฏอนเข้าสิงอยู่ในธรรมศาลานั้น ร้องตะโกนเสียงดังว่า 34 “นี่ อีซาชาวนาซาเร็ธ มายุ่งกับพวกเราทำไม? ท่านมาที่นี่เพื่อทำลายเราหรือ? เรารู้แล้วว่าท่านเป็นใคร ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ที่อัลลอฮฺทรงส่งมา”

         35 อีซาดุมันว่า “เงียบเดี๋ยวนี้นะ แล้วจงออกไปจากชายผู้นี้” ชัยฏอนทำให้ชายนั้นล้มฟาดลงต่อหน้าคนทั้งปวง แล้วมันก็ออกจากชายนั้น โดยไม่ทำให้เขาเป็นอันตรายแต่อย่างใด 36 ทุกคนที่เห็นประหลาดใจมาก ต่างพูดกันว่า “คำสั่งอะไรนี่ ช่างมีฤทธานุภาพเหลือเกิน พอท่านผู้นี้สั่งบรรดาชัยฏอนก็ออกไปทันที” 37 แล้วเรื่องราวของอีซาก็เลื่องลือไปทั่วแว่นแคว้นนั้น

อีซารักษาคนเจ็บป่วยมากมาย

         38 อีซาออกจากธรรมศาลาไปบ้านซีโมน แม่ยายของซีโมนกำลังป่วยมีไข้สูง คนในบ้านนั้นมาขอให้ท่านช่วยนาง 39 อีซาไปข้างเตียงของนางสั่งให้หายไข้ ทันใดนั้นเอง ไข้ก็หายไป นางมาคอยปรนนิบัติท่านและพวกของท่าน

         40 พอพลบค่ำบรรดาผู้ที่มีญาติมิตรเจ็บป่วยเป็นโรคต่างๆ ก็พาคนเจ็บมาหาอีซา ท่านแตะต้องทุกคน รักษาเขาให้หายเป็นปกติ 41 บรรดาชัยฏอนก็ออกมาจากหลายคนร้องว่า “ท่านเป็นบุตรของอัลลอฮฺ” อีซาสั่งและห้ามมันพูด เพราะมันรู้ว่าท่านเป็นอัล-มะซีฮฺ

อีซาไปประกาศสั่งสอน

         42 พอสว่าง อีซาก็ออกจากเมืองไปยังที่เปลี่ยว ประชาชนพากันมาหาท่าน และเมื่อเขาพบท่านแล้วก็พยายามหน่วงเหนี่ยวไม่ยอมให้ท่านจากพวกเขาไป 43 แต่ท่านกล่าวว่า “เราต้องเผยแผ่ข่าวดีเรื่องการปกครองของอัลลอฮฺในเมืองอื่นๆ เพราะพระองค์ทรงส่งเรามาทำสิ่งนี้” 44 ดังนั้น ท่านจึงไปประกาศในธรรมศาลาทั่วเขตยูเดีย

ลูกา 5

อีซาเลือกสาวกกลุ่มแรก

         1ครั้งหนึ่งอีซายืนอยู่บนฝั่งทะเลสาบเยนเนซาเรท ขณะที่ประชาชนกำลังเบียดเสียดเข้ามาฟังพระดำรัสของอัลลอฮฺ 2 อีซาเห็นเรือสองลำเกยหาดอยู่ ชาวประมงเจ้าของเรือกำลังไปล้างอวนของตน 3 ท่านจึงลงเรือลำหนึ่งที่เป็นของซีโมน แล้วขอร้องให้เขาช่วยเข็นเรือออกไปจากฝั่งสักเล็กน้อย ท่านนั่งลงสอนประชาชนในเรือนั้น 4 เมื่อสอนเสร็จแล้ว ท่านสั่งซีโมนว่า “เข็นเรือออกไปที่น้ำลึก แล้วจงช่วยกันหย่อนอวนลงจับปลา”

         5 ซีโมนตอบว่า “ท่านอาจารย์ พวกเราจับปลากันมาทั้งคืนแล้ว ไม่ได้ปลาเลย แต่ถ้าท่านอาจารย์สั่ง ข้าพเจ้าก็จะทำตาม” 6 ดังนั้น เขาก็หย่อนอวนลง และจับปลาได้เป็นจำนวนมากจนอวนแทบขาด 7 เขาจึงกวักมือเรียกเพื่อนชาวเรือลำอื่นมาช่วยลำเลียงปลาใส่เรือ ได้ปลาเพียบเรือทั้งสองลำจนเรือแทบจะล่ม 8 เมื่อซีโมนเปโตรเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ จึงคุกเข่าลงต่อหน้าอีซาบอกว่า “ท่านเจ้าข้า โปรดไปจากข้าพเจ้าเสียเถิด ข้าพเจ้าเป็นคนบาป”

         9 ซีโมนกับคนอื่นๆ ซึ่งอยู่ในที่นั้นด้วย ต่างอัศจรรย์ใจที่ได้ปลามากมายเช่นนั้น 10 เพื่อนที่ออกหาปลาด้วยกันกับซีโมนคือยะอฺกูบและยะหฺยาบุตรของเศเบดีก็แปลกใจเช่นกัน อีซาจึงกล่าวกับซีโมนว่า “อย่ากลัวไปเลย ตั้งแต่นี้ไปท่านจะได้เป็นผู้หาคนเหมือนหาปลา” 11 เขาช่วยกันลากเรือมาเกยหาดไว้ แล้วทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างตามอีซาไป

อีซาทำให้คนโรคเรื้อนหายโรค

         12 ขณะที่อีซาอยู่ในเมืองหนึ่ง ชายผู้หนึ่งเป็นโรคเรื้อนเต็มไปทั้งตัวเห็นอีซาเข้าก็ซบหน้าลงถึงดินวิงวอนท่านว่า “ท่านเจ้าข้า ถ้าท่านปรารถนาจะรักษาข้าพเจ้า ท่านก็รักษาข้าพเจ้าให้หายได้”

         13 อีซาเอื้อมมือไปแตะต้องเขา แล้วกล่าวว่า “เราเต็มใจรักษาให้ จงหายโรคเถิด” ในทันใดนั้นโรคเรื้อนก็หายขาด 14 อีซากำชับชายผู้นั้นว่า “อย่าเล่าให้ใครฟัง แต่จงตรงไปหาผู้ประกอบพิธีทางศาสนาให้ท่านตรวจดู   ต่อจากนั้น จงทำกุรฺบานตามที่นบีมูซาสั่งไว้เพื่อยืนยันให้ทุกคนเห็นว่าบัดนี้ท่านหายโรคแล้ว”

         15 ถึงกระนั้นข่าวเกี่ยวกับอีซายิ่งกระจายไปทั่ว มหาชนพากันมาฟังท่านและได้รับการรักษาให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ 16 แต่ท่านมักไปยังที่เปลี่ยว แล้วขอดุอาอ์

อีซารักษาคนง่อย

         17 วันหนึ่ง ขณะที่อีซากำลังสอนประชาชนอยู่ พวกฟาริสีและธรรมาจารย์บางคนก็อยู่ที่นั้นด้วย คนเหล่านี้มาจากหัวเมืองในเขตแดนกาลิลีและยูเดียและจากกรุงเยรูซาเล็ม ฤทธานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่กับอีซา ทำให้ท่านรักษาคนเจ็บป่วยได้ 18 มีบางคนหามคนง่อยใส่แคร่มาพยายามจะเอาคนง่อยเข้าไปวางไว้ต่อหน้าอีซาในบ้านนั้น 19 แต่ผู้คนแน่นมากจนเข้าไปไม่ได้ เขาจึงแบกคนง่อยขึ้นไปบนดาดฟ้า รื้อกระเบื้องหลังคาออกแล้วหย่อนคนง่อยพร้อมทั้งที่นอนลงมากลางกลุ่มคนต่อหน้าอีซา  20 เมื่ออีซาเห็นว่าพวกเขามีศรัทธากล้า จึงกล่าวกับชายนั้นว่า “เพื่อนเอ๋ย บาปต่างๆ ของท่านได้รับการอภัยแล้ว”

         21 ธรรมาจารย์และพวกฟาริสีจึงหันไปพูดกันในหมู่พวกเขาว่า “ชายผู้นี้เป็นใคร จึงบังอาจพูดหมิ่นอัลลอฮฺแบบนี้? ไม่มีใครยกโทษบาปให้ใครได้ มีแต่อัลลอฮฺผู้เดียวเท่านั้น”

         22 อีซาทราบความคิดในใจของเขาจึงกล่าวว่า “ทำไมพวกท่านจึงคิดเช่นนี้ 23 ที่จะพูดว่า ‘บาปต่างๆ ของท่านได้รับการอภัยแล้ว’ กับ ‘ลุกขึ้นเดินไปเถิด’ แบบไหนจะพูดง่ายกว่ากัน? 24 เราจะพิสูจน์ให้พวกท่านเห็นว่าบุตรมนุษย์มีอำนาจอภัยบาปในโลกดุนยานี้ได้” ดังนั้น ท่านจึงหันไปสั่งคนง่อยว่า “เราสั่งท่านให้ลุกขึ้นเก็บที่นอนกลับบ้านได้”

         25 ทันใดนั้นเอง เขาก็ลุกขึ้นต่อหน้าคนทั้งปวง ยกแคร่ที่ตนนอนอยู่แบกกลับบ้าน ปากก็พร่ำสรรเสริญอัลลอฮฺ 26 คนที่เห็นพากันประหลาดใจสุดขีด ทั้งๆ ที่หวาดกลัว แต่ก็สรรเสริญอัลลอฮฺแล้วพูดกันว่า “วันนี้เราได้พบสิ่งมหัศจรรย์ที่สุด”

อีซาเรียกเลวี

         27 หลังจากนั้น อีซาก็ออกไปเห็นคนหนึ่งชื่อเลวี เป็นคนเก็บภาษีกำลังนั่งอยู่ที่ด่านภาษี  อีซาบอกเขาว่า  “ตามเรามาเถิด” 28 เลวีก็ลุกขึ้น ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้วตามอีซาไป 29 ต่อมา เลวีจัดอาหารเลี้ยงต้อนรับอีซาในบ้านของเขา มีพวกเก็บภาษีกับคนอื่นๆ นั่งอยู่ด้วย 30 พวกฟาริสีและธรรมาจารย์บางคนซึ่งอยู่ในคณะเดียวกับพวกฟาริสีเห็นเข้า ก็บ่นติเตียนพวกสาวกของอีซาว่า “ทำไมพวกท่านจึงกินและดื่มกับพวกเก็บภาษีและคนบาปเล่า?” เขาถาม

         31 อีซาตอบว่า “คนที่มีสุขภาพดีไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บไข้ต่างหากที่ต้องการหมอ 32 เราไม่ได้มาเรียกพวกคนดีให้กลับใจใหม่ แต่มาเรียกพวกคนบาป”

มีผู้ถามถึงการถือศีลอดอาหาร

         33 มีบางคนบ่นกับอีซาว่า “ศิษย์ของยะหฺยาถือศีลอดอาหารกันบ่อยๆ ทั้งขอดุอาอ์ด้วย ศิษย์ของพวกฟาริสีก็ทำอย่างเดียวกัน แต่ศิษย์ของท่านกินและดื่ม” 34 อีซาตอบว่า    “ท่านจะให้พวกแขกที่มาในพิธีสมรสกลับไปโดยไม่ได้กินอะไรเลยอย่างนั้นหรือ ทั้งๆ ที่เจ้าบ่าวก็ยังอยู่กับเขา? ท่านคงไม่ทำอย่างนี้แน่ 35 แต่สักวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวถูกพรากตัวไปจากพวกเขา ตั้งแต่นั้นไป พวกเขาก็จะถือศีลอดอาหาร”

         36 อีซากล่าวกับเขาเป็นคำเปรียบเทียบว่า “ไม่มีใครฉีกเสื้อใหม่เอาไปปะเสื้อเก่า ถ้าทำอย่างนั้นเขาก็ทำให้เสื้อใหม่เสียไป แล้วผ้าใหม่ชิ้นนั้นก็ไม่เข้ากับเสื้อเก่าด้วย 37 ไม่มีใครเทน้ำองุ่นหมักใหม่ใส่ถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้น น้ำองุ่นหมักใหม่จะทำให้ถุงหนังปริออกไป น้ำองุ่นหมักก็จะไหลออกมา ทั้งถุงหนังก็จะเสียไปด้วย ไม่มีใครทำอย่างนี้หรอก 38 น้ำองุ่นหมักใหม่ก็ต้องใส่ไว้ในถุงหนังใหม่ 39 เช่นเดียวกันไม่มีใครที่อยากดื่มน้ำองุ่นหมักใหม่หลังจากที่ดื่มน้ำองุ่นหมักเก่าแล้ว เขาต้องว่า ‘น้ำองุ่นหมักเก่าดีกว่า’ ”

ลูกา 6

         1 วันบริสุทธิ์วันหนึ่ง ขณะที่อีซากับพวกสาวกกำลังเดินฝ่าทุ่งนาข้าวสาลีไป สาวกของท่านเด็ดรวงข้าวสาลีมา ใช้มือขยี้เอาเปลือกออกแล้วกินเม็ดข้าวข้างใน 2 เมื่อฟาริสีบางคนเห็น เขาก็ตำหนิว่า “ทำไมจึงทำสิ่งที่ต้องห้ามในวันบริสุทธิ์?”

         3 อีซาย้อนถามเขาว่า “ท่านไม่ได้อ่านหรือว่า กษัตริย์ดาวูดทรงทำอะไรบ้างเมื่อพระองค์และพรรคพวกของพระองค์หิวโหย? 4 กษัตริย์ดาวูดทรงเข้าไปในสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา เอาขนมปังที่มอบแด่อัลลอฮฺซึ่งเป็นของห้ามมาเสวย ทั้งยังส่งให้พรรคพวกด้วย กษัตริย์ดาวูดก็ไม่ได้ทำตามบทบัญญัติ แม้ว่าบทบัญญัติจะห้ามใครๆ กินนอกจากผู้ประกอบพิธีทางศาสนาเท่านั้น”

         5 อีซากล่าวสรุปว่า “เราผู้เป็นบุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันบริสุทธิ์”

คนมือพิการ

         6 เมื่อถึงวันบริสุทธิ์อีกครั้งหนึ่ง อีซาไปสั่งสอนประชาชนในธรรมศาลา มีชายคนหนึ่งมือขวาลีบอยู่ในที่นั้นด้วย 7 ธรรมาจารย์กับพวกฟาริสีอยากจะหาเหตุจับผิดอีซาจึงคอยดูว่า อีซาจะรักษาในวันบริสุทธิ์หรือไม่ 8 อีซาทราบความคิดของเขา ท่านบอกกับชายมือลีบนั้นว่า “ยืนขึ้นเถิด แล้วออกมาข้างหน้า” ชายนั้นก็ลุกขึ้นยืน 9 แล้วอีซาบอกกับคนเหล่านั้นว่า “ไหนขอถามหน่อยซิว่า บทบัญญัติอนุญาตให้เราทำอะไรได้บ้างในวันบริสุทธิ์ ให้ช่วยหรือให้ทำร้าย? ช่วยชีวิตคนหรือว่าจะทำลายเสีย?” 10 ท่านมองดูทุกคนโดยรอบ แล้วกล่าวแก่ชายนั้นว่า “ยื่นมือออกมาเถิด” เขาก็ทำตาม มือของเขาก็หายพิการ 11 แต่คนพวกนั้นโกรธแค้นมาก และเริ่มปรึกษากันในหมู่พวกเขาว่า จะทำอย่างไรกับอีซาดี

อีซาเลือกซอฮาบะฮฺสิบสองคน

         12 เวลานั้นอีซาไปบนภูเขาเพื่อจะขอดุอาอ์ และได้ดุอาอ์ต่ออัลลอฮฺตลอดคืน 13 พอรุ่งเช้า ท่านเรียกสาวกมาหา และเลือกสิบสองคน ท่านเรียกพวกเขาว่า ซอฮาบะฮฺ คนเหล่านี้คือ 14 ซีโมน (อีซาเรียกเขาว่า เปโตร) อันดรูว์ (น้องชายของซีโมน) ยะอฺกูบ ยะหฺยา ฟีลิป บารโธโลมิว 15 มัทธิว โธมัส ยะอฺกูบ (บุตรของอัลเฟอัส) ซีโมน (คนทั้งหลายเรียกเขาว่า คนรักชาติ) 16 ยูดาส (บุตรของยะอฺกูบ) ยูดาส อิสคาริโอท (ผู้นี้ได้กลายเป็นคนทรยศต่ออีซา)

อีซาช่วยมหาชน

         17 แล้วอีซาพาซอฮาบะฮฺลงมาจากภูเขามาสู่ที่ราบข้างล่าง และสมทบกับพวกสาวกของท่านอีกหลายคน มีคนมากมายคอยอยู่ที่นั่น คนเหล่านี้มาจากทั่วแคว้นยูเดียและจากกรุงเยรูซาเล็ม ทั้งมาจากเมืองไทระและไซดอน ซึ่งเป็นเมืองชายทะเล 18 พวกเขามาฟังท่านและขอให้ท่านช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บ พวกคนที่ถูกชัยฏอนเข้าสิงได้รับความทรมานเป็นอันมากก็มาหาท่านด้วย ท่านรักษาเขาให้หาย 19 ทุกคนพยายามจะแตะต้องท่าน เพราะฤทธานุภาพแผ่ออกไปจากท่าน จนสามารถรักษาเขาให้หายได้ทุกคน

ความสุขและความทุกข์

         20 อีซามองดูเหล่าสาวกแล้วสอนเขาว่า “ถึงพวกท่านยากจนก็เป็นสุข เพราะอัลลอฮฺทรงปกครองท่านแล้ว 21 พวกท่านที่หิวโหยอยู่ในเวลานี้ก็เป็นสุข เพราะท่านจะได้อิ่มหนำสำราญ พวกท่านที่ร้องไห้อยู่ในเวลานี้ก็เป็นสุข เพราะท่านจะได้หัวเราะอย่างเบิกบาน     

         22 “เมื่อคนทั้งหลายเกลียดชัง ขับไล่พวกท่าน ดูหมิ่นเหยียดหยาม และหาว่าท่านชั่วช้าสารเลว เพราะท่านจงรักภักดีต่อเราผู้เป็นบุตรมนุษย์ ท่านก็เป็นสุข 23 จงชื่นใจเถิด เมื่อเขาทำต่อท่านเช่นนี้ จงร้องรำทำเพลงด้วยความยินดี เพราะอัลลอฮฺทรงเก็บบำเหน็จรางวัลไว้ให้ท่านในสรวงสวรรค์แล้ว บรรพบุรุษของเขาก็ได้ทำเช่นนี้กับบรรดานบีเหมือนกัน

          24 “แต่วิบัติแก่พวกเจ้าที่กำลังร่ำรวยอยู่ในเวลานี้ เพราะเจ้าอยู่สบายมาแล้ว 25 วิบัติแก่พวกเจ้าที่อิ่มสบายในเวลานี้ เพราะเจ้าจะต้องหิวโหยอดอยาก วิบัติแก่พวกเจ้าที่หัวเราะอยู่ ณ บัดนี้ เพราะเจ้าจะต้องคร่ำครวญร่ำไห้ 26 “วิบัติแก่พวกเจ้าเมื่อเขายกย่องพวกเจ้า เพราะบรรพบุรุษของเขาก็ได้พูดอย่างเดียวกันนี้กับบรรดานบีปลอมเหมือนกัน

จงรักศัตรู

         27 “แต่เราจะบอกคนที่เชื่อฟังเราว่า จงรักศัตรู ให้ทำดีต่อคนที่เกลียดชังท่าน 28 จงขอดุอาอ์ให้ผู้ที่แช่งด่าท่าน และวิงวอนเผื่อคนที่เคี่ยวเข็ญท่าน 29 ถ้าใครตบหน้าท่านก็จงให้เขาตบอีกข้างหนึ่งด้วย ถ้าใครเอาเสื้อนอกของท่านไป ก็ จงเอาเสื้อตัวในให้เขาด้วย 30 จงให้แก่ผู้ที่ขอ ถ้าใครเอาของของท่านไปก็อย่าทวงคืนเลย 31 จงทำต่อผู้อื่นเหมือนอย่างที่ท่านต้องการให้เขาทำกับท่าน

         32 “ถ้าท่านรักแต่คนที่รักท่านเท่านั้น จะนับว่าเป็นความดีอะไรแก่ท่าน? ถึงคนชั่วก็ยังรักคนที่รักเขาเหมือนกัน 33 และถ้าท่านทำดีเฉพาะกับคนที่ทำดีต่อท่าน จะนับว่าเป็นความดีอะไรแก่ท่าน? แม้คนชั่วก็ยังทำเช่นนั้น 34 และถ้าท่านให้ยืมเงินเฉพาะกับคนที่สามารถคืนให้ท่านได้ ท่านจะได้ประโยชน์อะไร? แม้คนชั่วก็ยังให้คนชั่วด้วยกันยืม ด้วยหวังได้สิ่งนั้นกลับคืน 35 อย่าทำอย่างนั้นเลย จงรักศัตรู ทำดีต่อพวกเขาเถิด เมื่อให้ยืมไปแล้วก็อย่าหวังเอากลับคืน แล้วท่านจะได้รับบำเหน็จมหาศาล และจะได้เป็นผู้ที่ปฏิบัติเหมือนผู้สูงสุด เพราะว่าพระองค์ทรงดีต่อคนชั่วอกตัญญู 36 จงเมตตาเพื่อนมนุษย์ดังที่พระบิดาของท่านทรงเมตตาท่าน”

การติเตียนผู้อื่น

         37 “อย่าตัดสินผู้อื่น แล้วท่านจะไม่ถูกตัดสิน อย่ากล่าวโทษคนอื่น แล้วท่านจะไม่ถูกกล่าวโทษ จงยกโทษให้ผู้อื่น แล้วท่านจะได้รับการยกโทษ 38 จงให้ผู้อื่น แล้วอัลลอฮฺจะประทานให้ท่าน ท่านจะได้รับจนเต็มสัดเต็มส่วน และล้นเหลือจนรับไม่ไหว เพราะว่าท่านทำแก่ผู้อื่นอย่างไร ก็จะได้รับตอบอย่างนั้นเหมือนกัน”

         39 อีซาเล่าเรื่องเปรียบเทียบให้เขาฟังว่า “คนตาบอดย่อมไม่อาจจูงคนตาบอดไปได้ ถ้าเขาขืนทำเช่นนั้น ทั้งคู่ก็จะต้องตกลงไปในคู 40 ไม่มีศิษย์คนใดใหญ่ไปกว่าครูได้ แต่ศิษย์ที่เรียนจบแล้วก็จะเป็นเหมือนครู

         41 “ทำไมท่านจึงมัวแต่มองดูผงในตาพี่น้องของท่าน แต่กลับไม่เอาใจใส่กับท่อนซุงในตาของตนเอง? 42 ท่านจะพูดกับพี่น้องได้อย่างไรว่า ‘น้องเอ๋ย ให้พี่เขี่ยผงออกจากตาของน้องเถิด’ แต่กลับมองไม่เห็นท่อนซุงในตาของตนเอง? โอ คนหน้าซื่อใจคด เอาท่อนซุงออกจากตาของตนก่อนเถิด แล้วจะได้มองเห็นและเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้

จะรู้จักต้นไม้ได้ก็ด้วยผลของมัน

         43 “ถ้าต้นไม้ดีก็จะไม่ให้ผลเลวเป็นแน่ หรือต้นไม้เลวก็จะไม่ให้ผลดี 44 เพราะว่าจะรู้จักต้นไม้แต่ละต้นได้ ก็ด้วยผลของมัน คนย่อมไม่เก็บผลมะเดื่อจากต้นหนาม หรือเก็บผลองุ่นจากพุ่มหนามเป็นแน่ 45 คนดีย่อมเอาสิ่งดีออกมาจากคลังแห่งความดีในใจของเขา คนชั่วก็ย่อมเอาสิ่งชั่วออกมาจากคลังความชั่วในใจ เพราะว่าปากของเขาย่อมกล่าวสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมา

ช่างก่อสร้างสองชนิด

         46 “ทำไมนะพวกท่านจึงเรียกเราว่า ‘ท่านผู้เป็นเจ้านาย’ แต่แล้วไม่ทำตามที่เราบอกท่าน? 47 ทุกคนที่มาหาเราได้ฟังคำของเราแล้วปฏิบัติตาม เราจะบอกให้ว่าเขาเป็นเหมือนอะไร? 48 เขาเป็นเหมือนคนที่สร้างบ้านโดยขุดลงไปลึกแล้วฝังรากอาคารไว้บนศิลา เมื่อน้ำท่วมซัดกระทบบ้านนั้น มันก็ไม่คลอนแคลนเพราะสร้างไว้มั่นคง 49 แต่คนที่ฟังคำของเราแล้วไม่ปฏิบัติตาม ก็เป็นเหมือนคนที่สร้างบ้านไว้บนพื้นดินโดยไม่ได้ฝังรากไว้ เมื่อเกิดน้ำท่วมซัดกระทบ บ้านนั้นก็พังทลายลงทันที ยับเยินไม่มีชิ้นดีเลย

ลูกา 7

อีซารักษาคนใช้ของนายทหารโรม

         1 เมื่ออีซาเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้ประชาชนฟังจบแล้ว ท่านก็ไปเมืองคาเปอรนาอุม 2 นายทหารโรมันคนหนึ่งมีคนใช้ที่เขารักมากกำลังป่วยหนักจวนจะตายอยู่แล้ว 3 เมื่อนายทหารผู้นี้ได้ยินเรื่องอีซา ก็ให้ผู้ใหญ่บางคนของพวกยาฮูดีมาเชิญท่านไปช่วย ชีวิตคนใช้ของเขา 4 คนเหล่านั้นมาหาอีซาอ้อนวอนว่า “นายทหารผู้นี้เป็นคนดีจริงๆ สมควรที่ท่านจะช่วยเหลือ 5 เขารักพวกยาฮูดีมากถึงกับสร้างธรรมศาลาให้” 6 อีซาจึงมากับเขา เมื่อยังไม่ทันถึงบ้าน นายทหารผู้นั้นให้พวกเพื่อนๆ ไปบอกท่านว่า “ท่านเจ้าข้า อย่าไปให้ลำบากเลย ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ท่านไม่ควรจะเข้าไปในบ้านของข้าพเจ้า 7 ถึงตัวข้าพเจ้าเองก็ไม่ดีพอที่จะไปพบท่านได้ ขอสั่งมาเท่านั้น คนใช้ของข้าพเจ้าก็จะหาย 8 ข้าพเจ้าเองเป็นทหารอยู่ใต้บังคับบัญชานายที่อยู่เหนือข้าพเจ้า และข้าพเจ้าเองก็มีทหารหลายคนที่อยู่ใต้อำนาจข้าพเจ้าสั่งคนนี้ว่าไป เขาก็จะไป สั่งคนนั้นว่ามา เขาก็จะมา และข้าพเจ้าสั่งทาสให้ทำนี่ เขาก็ต้องทำ”

         9 อีซาแปลกใจมากที่ได้ยินคำเหล่านั้น เหลียวไปดูรอบๆ แล้วกล่าวแก่ประชาชนที่ตามมาว่า “เรายังไม่เคยพบเห็นคนที่มีความศรัทธามั่นคงเช่นนี้เลย แม้แต่ในพงศ์พันธุ์ของนบียะอฺกูบ”

         10 เมื่อคนส่งข่าวกลับไปถึงบ้านนายทหาร ก็เห็นว่าคนใช้นั้นหายเป็นปกติแล้ว

 

อีซาช่วยบุตรชายของหญิงม่าย

         11 วันรุ่งขึ้น อีซาไปเมืองนาอิน มีสาวกกับคนกลุ่มใหญ่ตามท่านไปด้วย 12 พอท่านมาถึงประตูเมือง ก็สวนกับขบวนแห่ศพ ผู้ตายเป็นบุตรชายคนเดียวของหญิงม่าย คนหมู่ใหญ่จากในเมืองมากับนางด้วย 13 เมื่ออีซาผู้เป็นเจ้านายเห็นก็เมตตา ปลอบนางว่า “อย่าร้องไห้เลย” 14 แล้วท่านไปจับหีบศพนั้น คนที่หามหีบศพก็หยุด อีซากล่าวว่า “พ่อหนุ่มเอ๋ย เราสั่งท่าน ให้ลุกขึ้น” 15 ผู้ตายก็ลุกขึ้นเริ่มพูด อีซาจึงมอบเขาให้มารดา

         16 ทุกคนก็เกิดความกลัวเกรงและสรรเสริญอัลลอฮฺว่า “นบีผู้ยิ่งใหญ่มาปรากฏในหมู่พวกเราแล้ว” บางคนก็ว่า “อัลลอฮฺทรงมาช่วยประชากรของพระองค์”

         17 ข่าวเกี่ยวกับอีซาก็ลือไปทั่วแว่นแคว้นยูเดียและอาณาเขตรอบๆ นั้น นบียะหฺยา(ผู้ให้บัพติศมา)ส่งคนมาถาม    18 ศิษย์ของยะหฺยาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ ยะหฺยาฟัง เขาจึงเรียกศิษย์สองคนมา 19 แล้วส่งให้ไปถามอีซาผู้เป็นเจ้านายว่า “ท่านเป็นผู้ที่จะมานั้นหรือ? หรือว่าเราจะต้องรอคอยอีกคนหนึ่ง?” 20 เมื่อสองคนนี้ไปพบอีซาแล้ว จึงถามว่า “นบียะหฺยา(ผู้ให้บัพติศมา)ส่งพวกข้าพเจ้ามาถามท่านว่า ท่านเป็นผู้ที่จะมานั้นหรือ? หรือว่าเราจะต้องรอคอยอีกคนหนึ่ง?”

         21 ขณะนั้น อีซากำลังรักษาคนมากมายให้หายจากความป่วยไข้ จากโรคภัยต่างๆ และให้พ้นจากชัยฏอนเข้าสิง ทั้งทำให้คนตาบอดกลับมองเห็นได้ 22 ท่านจึงตอบผู้ที่นบียะหฺยาส่งมาว่า “จงกลับไปเล่าเรื่องตามที่ท่านเห็นและได้ยินนี้ให้นบียะหฺยาฟังเถิดว่า คนตาบอดกลับมองเห็นได้ คนง่อยก็กลับเดินได้ คนโรคเรื้อนหายสะอาด คนหูหนวกก็กลับได้ยิน คนตายก็ฟื้นขึ้นจากความตาย และคนยากจนเข็ญใจก็ได้ฟังข่าวดี 23 คนไหนที่ไม่สงสัยเราก็จะมีความสุขยิ่งนัก”

         24 พอผู้ที่นบียะหฺยาส่งมานั้นกลับไปแล้ว อีซากล่าวถึงนบียะหฺยาให้มหาชนฟังว่า “เมื่อพวกท่านออกไปหานบียะหฺยาในถิ่นกันดารนั้น ท่านคาดว่าจะได้เห็นอะไรเล่า? เห็นต้นหญ้าเอนลู่เพราะแรงลมหรือ? 25 พวกท่านออกไปดูอะไรกัน? ดูคนแต่งตัวหรูหราหรือ? แท้จริงแล้ว เราจะพบคนที่แต่งตัวอย่างนั้นมีชีวิตอยู่อย่างหรูหราในพระราชวัง 26 ไหนบอกมาซิว่า พวกท่านคาดว่าจะพบอะไร? พบนบีคนหนึ่งใช่ไหม? ถูกของท่าน เราขอบอกว่า นบียะหฺยาเป็นยิ่งกว่านบีเสียอีก 27 เพราะนบียะหฺยาเป็นผู้ที่อัลกิตาบกล่าวว่า ‘อัลลอฮฺตรัสว่า ผู้นี้เป็นทูตของเรา เราจะใช้เขาไปข้างหน้าท่านเพื่อบุกเบิกทางให้ท่าน’ ” 28 อีซากล่าวเสริมขึ้นว่า “เราจะบอกให้ว่านบียะหฺยานั้นยิ่ง ใหญ่กว่าบรรดาผู้ที่เกิดมาแล้วทั้งหมด แต่ผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดที่อยู่ในการปกครองของอัลลอฮฺยังยิ่งใหญ่กว่านบียะหฺยาเสียอีก”

         29  ประชาชนและพวกคนเก็บภาษีต่าง ก็ได้ยิน อีซากล่าว คนเหล่านี้เป็นผู้ยอมรับว่าอัลลอฮฺทรงยุติธรรม เพราะพวกเขาได้รับบัพติศมาจากนบียะหฺยาแล้ว 30 แต่พวกฟาริสีและธรรมาจารย์ไม่ยอมทำตามพระประสงค์ของอัลลอฮฺที่กำหนดไว้ให้เขา ทั้งไม่ยอมรับบัพติศมาจากนบียะหฺยาด้วย

         31 อีซากล่าวต่อไปว่า “เราจะเปรียบคนทุกวันนี้กับอะไรดี เขาเป็นเหมือนอะไรหนอ 32 เขาเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ที่นั่งเล่นอยู่กลางตลาด เด็กกลุ่มนี้ตะโกนบอกเด็กอีกกลุ่มหนึ่งว่า ‘พวกเราเล่นดนตรีให้พวกเธอแล้ว แต่เธอไม่ยอมเต้น พวกเราครวญเพลงโศกในงานศพแล้ว แต่พวกเธอไม่ยอมร้องไห้’

         33 นบียะหฺยา(ผู้ให้บัพติศมา)มาแล้ว เขาถือศีลอดอาหาร ไม่ดื่มน้ำเมา แต่พวกท่านก็ไปหาว่าเขาถูกชัยฏอนเข้าสิง 34 ครั้นเราผู้เป็นบุตรมนุษย์มากินและดื่ม ท่านก็ว่า ‘ดูคนนี้ซิ ช่างกินเติบและชอบดื่มน้ำเมา ชอบไปไหนมาไหนกับคนเก็บภาษี และคนบาป’ 35 แต่อย่างไรก็ตาม ทุกคนที่ยอมรับพระปรีชาญาณของ อัลลอฮฺ ก็ย่อมจะเห็นความจริงที่แฝงอยู่ในพระปรีชาญาณได้”

อีซาไปที่บ้านฟาริสีที่ชื่อซีโมน

         36 ฟาริสีคนหนึ่งเชิญอีซาไปรับประทานอาหารกับเขา อีซาก็เข้าไปในบ้านของฟาริสีคนนั้น แล้วรับประทานอาหาร 37 มีหญิงคนหนึ่งในเมืองนั้นซึ่งเป็นคนบาป ได้ข่าวว่า อีซากำลังรับประทานอยู่ในบ้านของฟาริสีคนนั้น นางจึงนำขวดใส่น้ำมันหอม 38 มายืนอยู่ข้างหลังใกล้เท้าของอีซา แล้วร้องไห้จนน้ำตาหยดลงเปียกเท้าของท่าน แล้วนางเอาผมของนางเช็ดเท้าที่เปียกนั้นจนแห้ง นางเฝ้าจูบเท้า แล้วเทน้ำมันหอมชโลมเท้าของท่าน 39 เมื่อฟาริสีที่เชิญอีซามาเห็นดังนี้ก็คิดในใจว่า “ถ้าผู้นี้เป็นนบีจริงๆ ก็คงจะทราบได้ทันทีว่าหญิงคนที่กำลังจับต้องเท้าของท่านเป็นผู้ใดและเป็นคนอย่างไร เพราะนางเป็นคนบาป”

         40 อีซาจึงกล่าวกับฟาริสีผู้นี้ว่า “ซีโมน เราจะเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง” เขาตอบว่า “ดีซิอาจารย์ โปรดเล่ามาเถิด” 41 อีซาเล่าว่า “เจ้าหนี้คนหนึ่งมีลูกหนี้สองคน คนหนึ่งเป็นหนี้อยู่ห้าร้อยเหรียญเงิน อีกคนหนึ่งเป็นหนี้อยู่ห้าสิบเหรียญเงิน 42 ทั้งสองคนไม่มีปัญญาที่จะใช้เงินคืนได้ ดังนั้นเจ้าหนี้จึงยกหนี้ให้ทั้งสองคน ชายสองคนนี้คนไหนจะรักเจ้าหนี้มากกว่ากัน?”

         43 ซีโมนตอบว่า “ข้าพเจ้าคิดว่าคงจะเป็นคนที่เจ้าหนี้ยกหนี้ให้มาก”

         “ท่านตอบถูกแล้ว” อีซาบอกกับเขา 44 แล้วหันไปดูหญิงนั้น พลางชี้แจงแก่ซีโมนว่า   “ท่านเห็นหญิงผู้นี้ไหม? เมื่อเราเข้ามาในบ้านนี้ท่านไม่ได้ให้น้ำเราล้างเท้า แต่หญิงนี้กลับใช้น้ำตาของนางล้างเท้าให้เรา แล้วเอาผมเช็ดจนแห้ง 45 ท่านไม่ได้จูบต้อนรับเรา แต่หญิงนี้ตั้งแต่เข้ามาแล้ว เฝ้าแต่จูบเท้าของเรา ไม่หยุดเลย 46 ท่านไม่ได้เอาน้ำมันชโลมศีรษะให้เรา แต่หญิงนี้กลับใช้น้ำมันหอมชโลมเท้าเรา 47 เราขอบอกท่านว่า ที่หญิงนี้แสดงความรักมากนั้นเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า นางได้รับการอภัยบาปที่มีอยู่มากนั้นจนหมดสิ้น แต่ตรงกันข้าม คนที่ได้รับการยกโทษน้อยก็ย่อมรักน้อย”

         48 แล้วอีซากล่าวแก่หญิงนั้นว่า “บาปของเธอได้รับการยกโทษแล้ว” 49 คนอื่นๆ ที่นั่งรับประทานอยู่ด้วย ต่างคิดในใจว่า “ชายนี้เป็นใครกันนะ จึงบังอาจยกโทษบาปได้?”

         50 แต่อีซากล่าวแก่หญิงนั้นอีกว่า “ความศรัทธาของเธอช่วยเธอแล้วจงไปเป็นสุขเถิด”

ลูกา 8

พวกผู้หญิงที่ติดตามอีซา

         1 ต่อมา อีซาผ่านเมืองและหมู่บ้านต่างๆ ประกาศและเผยแผ่ข่าวดีเรื่องการปกครองของอัลลอฮฺ สาวกสิบสองคนก็ไปกับท่านด้วย 2 มีพวกผู้หญิงบางคนที่อีซาไล่ชัยฏอนออกจากตัวและรักษาโรคภัยให้ติดตามไปด้วย คือ มัรฺยัม (ที่เรียกกันว่ามัรฺยัมชาวมักดาลา) อีซาไล่ชัยฏอนเจ็ดตนออกจากตัวนาง 3 โยอันนาภรรยาของคูซา (คูซาผู้นี้เป็นข้าราชการในสำนักของเฮโรด)   และ สุสันนากับผู้หญิงคนอื่นๆ อีกหลายคนที่เอาข้าวของมาช่วยอีซากับสาวกของท่าน

เรื่องผู้หว่านเมล็ดพืช

         4 ประชาชนตามเมืองต่างๆ ยังคงมาหาอีซาอยู่เรื่อยๆ เมื่อมารวมกันเป็นกลุ่มใหญ่  อีซาเล่าเรื่องเปรียบเทียบให้พวกเขาฟังว่า 5 “มีชายคนหนึ่งออกไปหว่านพืช เมื่อเขาโปรยเมล็ดพืชลงไปในทุ่งนานั้น พืชบางเมล็ดก็ตกลงที่หนทางเดิน ถูกคนเหยียบย่ำไปมา และนกเห็นเข้าก็มาจิกกินเสีย 6 พืชบางเมล็ดตกลงบนพื้นดินปนหิน เมื่อพืชงอกขึ้นก็ต้องเหี่ยวเฉาไป เพราะดินนั้นไม่ชุ่ม 7 พืชบางเมล็ดตกลงท่ามกลางหมู่ต้นหนาม เมื่องอกขึ้นแล้วก็โดนต้นหนามปกคลุมจนตายไป 8 พืชบางเมล็ดตกลงในดินดี พืชนั้นก็งอกงาม ออกรวงเก็บได้ถึงร้อยเท่า”

         อีซากล่าวเสริมว่า “ฟังไว้เถิด แล้วเก็บไปคิดดู”

ความมุ่งหมายที่สอนเป็นเรื่องเปรียบเทียบ

         9 สาวกของท่านพากันถามว่า เรื่องเปรียบเทียบนั้นหมายความว่าอย่างไร

10 อีซาตอบว่า “เราได้แจ้งถึงความลี้ลับเกี่ยวกับการปกครองของอัลลอฮฺให้พวกท่านทราบแล้ว ส่วนคนอื่นเราจะกล่าวแก่เขาเป็นอุปมา เพื่อที่ว่าถึงเขาดูแต่ก็จะไม่เห็นถึงฟังก็จะไม่เข้าใจ

อีซาอธิบายเรื่องผู้หว่านเมล็ดพืช

         11 “เรื่องเปรียบเทียบนั้นมีความหมายดังนี้ เมล็ดพืชนั้นได้แก่พระดำรัสของอัลลอฮฺ 12 เมล็ดที่ตกอยู่ตามหนทางเดินนั้นได้แก่คนที่ฟังแล้ว แต่ถูกอิบลิสชิงเอาพระดำรัสไปจากใจ ไม่ยอมให้เขาศรัทธาหรือรอด 13 เมล็ดพืชที่ตกบนดินปนหินนั้น ได้แก่คนที่ฟังพระดำรัสแล้วรับไว้ด้วยความยินดี แต่ถ้อยคำเหล่านั้นไม่ได้ฝังลึกลงไปในจิตใจ เขาศรัทธาอยู่ชั่วคราว เมื่อถูกล่อลวงเขาก็หลงไป 14 เมล็ดที่ตกอยู่ท่ามกลางหนามได้แก่ผู้ที่ฟังพระดำรัสแล้ว ความกังวลห่วงใยและความมั่งคั่งเพลิดเพลินในชีวิตนี้เบียดบังพระดำรัสไว้ ไม่ให้เจริญขึ้นในใจของผู้นี้ได้ จึงไม่เกิดผล 15 เมล็ดพืชที่ตกในดินดี ได้แก่ผู้ที่ฟังพระดำรัสแล้วรับพระดำรัสไว้ในใจอย่างดีและสัตย์ซื่อ แล้วเชื่อฟัง จนกระทั่งเกิดผลโดยความเพียรตะเกียงที่ถูกถังครอบไว้

         16 “ไม่มีใครหรอกที่จุดตะเกียงแล้วเอาถังครอบไว้หรือเอาตั้งไว้ใต้เตียง แทนที่จะทำเช่นนี้เขาจะต้องเอาตั้งไว้บนหิ้งให้ส่องสว่างแก่ผู้ที่เข้ามาในห้องนั้น

17 “สิ่งใดก็ตามที่ซ่อนเร้นอยู่จะต้องถูกเปิดเผย และอะไรก็ตามที่ถูกปิดบังไว้ จะต้องมีผู้ไปพบเข้าและนำมาสู่ที่แจ้ง 18 “จงตั้งใจฟังให้ดี เพราะว่าผู้ใดที่มีอยู่แล้ว จะทรงเพิ่มเติมให้แก่ผู้นั้นอีก แต่ผู้ใดไม่มี แม้ซึ่งเขาคิดว่ามีอยู่นั้น จะทรงเอาไปจากเขา”

มารดาและพวกน้องๆ ของอีซา

         19 มารดาและพวกน้องๆ ของอีซามาหาท่าน แต่เข้าไปไม่ถึงเพราะคนแน่นมาก    20 มีผู้มาบอกอีซาว่า “มารดาและพวกน้องๆ ของท่านกำลังยืนอยู่ข้างนอก พวกเขาต้องการจะพบท่าน” 21 อีซากล่าวแก่ประชาชนว่า “มารดาและพี่น้องของเราก็คือ คนที่ฟังพระดำรัสของอัลลอฮฺแล้วปฏิบัติตาม”

อีซาห้ามพายุ

         22 วันหนึ่ง อีซาลงเรือไปพร้อมกับพวกสาวก กล่าวกับเขาว่า “ให้เราข้ามทะเลสาบไปฝั่งโน้นเถิด” เขาก็ถอยเรือออกไป 23 ขณะที่เขาออกเรือไปอีซาหลับอยู่ ทันใดนั้นเกิดพายุใหญ่ขึ้นกลางทะเลสาบนั้น น้ำซัดเข้ามาในเรือทำให้ทุกคนตกอยู่ในอันตราย 24 เขาจึงพากันปลุกอีซาว่า “ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ เราจะตายกันอยู่แล้ว” อีซาลุกขึ้นสั่งห้ามพายุและคลื่นที่กำลังปั่นป่วนอยู่ พายุและคลื่นก็สงบราบเรียบ 25 แล้วท่านหันไปถามพวกสาวกว่า “ความศรัทธาของพวกท่านหายไปไหนหมดเล่า?” แต่พวกสาวกกลัวและอัศจรรย์ใจ หันไปพูดกันว่า “นี่เป็นใครกันหนอ? จึงสั่งพายุและคลื่นได้ และมันก็เชื่อฟังท่านเสียด้วย”

 

อีซารักษาคนถูกชัยฏอนเข้าสิง

         26 เขาแล่นเรือไปจนถึงเขตของชาวเมืองเกราซา ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของทะเลสาบกาลิลี 27 พออีซาขึ้นบกแล้ว มีชายคนหนึ่งที่ถูกชัยฏอนเข้าสิงมาพบท่าน ชายผู้นี้เคยอยู่ในเมือง เขาไม่ใส่เสื้อผ้ามานานแล้ว ทั้งไม่ยอมอยู่บ้าน แต่ไปนอนอยู่ตามอุโมงค์ฝังศพ 28 เมื่อเขาเห็นอีซาเข้าก็ร้องเสียงดังลั่น แล้วฟุบลงเบื้องหน้าท่าน ตะโกนว่า “อีซา บุตรของพระเจ้าผู้สูงสุด ท่านจะมายุ่งอะไรกับข้า? ข้าขอวิงวอนท่านว่า อย่าทรมานข้าเลย” 29 ที่ร้องอย่างนี้เพราะอีซาสั่งให้ชัยฏอนออกไปจากเขา ชัยฏอนเคยสิงอยู่ในตัวชายผู้นี้หลายครั้งแล้ว แม้ว่าคนทั้งหลายจะจับเขาล่ามโซ่ไว้อย่างแน่นหนา เขาก็จะหักโซ่ออก แล้วมันบังคับเขาให้เข้าไปในถิ่นกันดาร

         30 อีซาถามเขาว่า “เจ้าชื่ออะไร?” “ชื่อ กองพล” เขาตอบ เพราะมีชัยฏอนหลายตนด้วยกันเข้าสิงอยู่ในตัวชายนั้น 31 ชัยฏอนเหล่านี้วิงวอนอีซามิให้ส่งพวกมันไปนรกขุมลึก

         32 ใกล้ๆ นั้นมีหมูฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่บนไหล่เขา ชัยฏอนเหล่านี้วิงวอนอีซาขอเข้าสิงอยู่ในหมูฝูงนั้น อีซาก็อนุญาต 33 ดังนั้น พวกมันก็ออกจากตัวชายคนนั้นเข้าไปสิงในฝูงหมู หมูทั้งฝูงนั้นก็กระโจนจากหน้าผาลงไปในทะเลสาบจมน้ำตายหมด

34 คนเลี้ยงหมูเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้โดยตลอด จึงวิ่งไปกระจายข่าวให้คนในเมืองและนอกเมืองฟัง 35 คนทั้งหลายต่างพากันมาดู เขามาหาอีซาและพบชายที่ท่านไล่พวกชัยฏอนออกมีสติดี สวมเสื้อผ้านั่งเรียบร้อยอยู่แทบเท้าของอีซา ทุกคนหวาดกลัว 36 ผู้ที่เห็นเหตุการณ์เล่าให้คนทั้งหลายฟังว่าชายผู้นี้หายได้อย่างไร 37 แล้วคนที่ออกมาจากเขตของชาวเมืองเกราซา ขอร้องให้อีซาไปจากเมืองของเขา เพราะทุกคนหวาด กลัวมาก ดังนั้น อีซาลงเรือแล่นจากไป 38 ชายที่อีซาไล่พวกชัยฏอนออกตามไปอ้อนวอนท่านว่า “ขอข้าพเจ้าตามไปด้วย” แต่อีซาสั่งว่า 39 “กลับไปบ้านเถิด แล้วไปเล่าให้ใครๆ ฟังถึงสิ่งที่อัลลอฮฺทรงทำต่อท่าน ชายคนนั้นกลับเข้าไปในเมือง เขาไปถึงไหน ก็ได้ประกาศเรื่องที่อีซากระทำแก่เขาให้คนทั้งหลายฟัง

ลูกสาวไยรัสกับหญิงที่แตะชายเสื้ออีซา

         40 เมื่ออีซากลับไปถึงอีกฟากหนึ่งของทะเลสาบ มหาชนออกมารับท่าน เพราะทุกคนเฝ้าคอยท่านอยู่ 41 แล้วชายผู้หนึ่งชื่อไยรัสก็มาถึง เขาเป็นหัวหน้าของธรรมศาลาในเมืองนั้น ชายคนนี้คุกเข่าลงกราบแทบเท้าของอีซาวิงวอนขอให้ท่านไปที่บ้านของเขา 42 ทั้งนี้เพราะลูกสาวคนเดียวของเขาซึ่งเพิ่งมีอายุได้สิบสองปีกำลังจะตาย

         ขณะที่อีซาไปตามทางจะไปบ้านของไยรัสนั้น มีคนมากมายห้อมล้อมท่านตลอดทาง 43 มีหญิงผู้หนึ่งเป็นโรคตกโลหิตมาสิบสองปีแล้ว นางไปหาหมอรักษาจนเงินที่มีอยู่หมดลง แต่ก็ไม่มีใครรักษานางได้ 44 นางจึงแทรกเข้าไปทางข้างหลังอีซา เอื้อมมือไปแตะชายเสื้อคลุมของท่าน ฉับพลันนั้นเองโลหิตก็หยุดตก 45 อีซาถามว่า “ใครมาถูกต้องเรา?” ทุกคนปฏิเสธ แต่เปโตรว่า “ท่านอาจารย์มีคนมากมายเบียดเสียดท่าน”

         46 แต่อีซายืนยันว่า “มีคนแตะต้องเราแน่ เรารู้เพราะฤทธานุภาพได้ซ่านออกจากตัวเรา” 47 หญิงนั้นเห็นว่าอีซาทราบแน่แล้ว ก็เข้าไปหมอบตัวสั่นอยู่แทบเท้าของอีซาต่อหน้าคนทั้งหลาย นางกล่าวถึงสาเหตุที่นางแตะต้องท่านและโรคก็หายทันที 48 อีซาจึงกล่าวกับนางว่า “ลูกเอ๋ย ความศรัทธาของลูกทำให้ลูกหายโรค จงกลับไปเป็นสุขเถิด”

         49 ขณะที่อีซากำลังกล่าวอยู่ มีชายผู้หนึ่งมาจากบ้านของไยรัสมาบอกไยรัสว่า “ลูกสาวของท่านสิ้นใจเสียแล้ว อย่ารบกวนอาจารย์อีกต่อไปเลย” 50 อีซาได้ยินเข้าก็หันมาปลอบไยรัสว่า “ไม่ต้องกลัว จงศรัทธาเท่านั้น แล้วลูกก็จะหาย”

         51 เมื่ออีซาไปถึงบ้านไยรัส ท่านไม่ยอมให้ใครเข้าไปข้างในกับท่านเว้นแต่เปโตร ยะหฺยา ยะอฺกูบ และบิดามารดาของเด็กนั้น 52 ทุกคนในบ้านกำลังร้องไห้คร่ำครวญอยู่ อีซาห้ามว่า “อย่าร้องไห้ไปเลย เด็กยังไม่ตาย เพียงแต่นอนหลับไปเท่านั้นเอง”

         53 คนเหล่านั้นก็หัวเราะเยาะท่าน เพราะเขาทราบแน่ว่าเด็กนั้นสิ้นชีวิตแล้ว    54 แต่อีซาตรงเข้าไปจับมือเด็กให้ลุกขึ้น ร้องเรียกว่า “ลูกเอ๋ย ลุกขึ้นเถิด” 55 ชีวิตก็กลับเข้าสู่ร่างเด็กนั้น เขาลุกขึ้นทันที แล้วอีซาก็สั่งให้เอาอาหารมาให้เด็กรับประทาน 56 บิดามารดาของเด็กนั้นตกตะลึง แต่อีซากำชับเขาไม่ให้เล่าให้ผู้ใดฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนี้

ลูกา 9

อีซาส่งสาวกสิบสองคนไป

         1 อีซาเรียกสาวกทั้งสิบสองคนมา ประทานฤทธานุภาพให้เขาไล่ชัยฏอนออกจากตัวคน และรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้ 2 แล้วท่านให้เขาออกไปประกาศเรื่องการปกครองของอัลลอฮฺ และรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย 3 ท่านชี้แจงแก่เขาว่า “เมื่อไปจงอย่าเอาอะไรติดตัวไปด้วยเลย ไม่ว่าจะเป็นไม้เท้าหรือย่าม หรืออาหาร หรือเงินทอง แม้แต่เสื้อผ้าสักตัวหนึ่งก็ไม่ต้องเอาไปเผื่อ

         4 บ้านไหนต้อนรับพวกท่านก็จงพักอยู่บ้านนั้น จนกว่าท่านจะไปจากเมืองนั้น 5 ที่ไหนเขาไม่ต้อนรับก็ให้ออกไปจากเมืองนั้น แล้วจงสะบัดผงคลีดินจากเท้าของท่านเสีย จะได้เป็นการเตือนเขา” 6 พวกสาวกก็ออกไปทั่วทุกหมู่บ้าน เผยแผ่ข่าวดีและรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย

เฮโรดสับสน

         7 เฮโรดผู้ครองแคว้นกาลิลีได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็สับสน เพราะคนทั้งหลายพูดกันว่า นบียะหฺยาฟื้นขึ้นจากความตาย 8 บางคนก็ว่า นบีอิลยาสมาปรากฏตัว บางคนก็ว่านบีในสมัยโบราณกลับเป็นขึ้นมาอีก 9 เฮโรดจึงรำพึงว่า “ก็เราสั่งตัดศีรษะนบียะหฺยาแล้ว คนที่เราได้ยินถึงนี้เป็นใครกันนะ?” แล้วเฮโรดก็ปรารถนาจะพบอีซายิ่งขึ้น

อีซาเลี้ยงคนห้าพันคน

         10 พวกซอฮาบะฮฺกลับมาเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เขาทำไปนั้นให้อีซาฟังแล้ว ท่านพาพวกเขาไปกับท่าน โดยเลี่ยงออกไปยังเมืองเบธไซด 11 เมื่อคนทั้งหลายได้ยินข่าวก็พากันตามไป ท่านต้อนรับเขา แล้วพูดเรื่องการปกครองของอัลลอฮฺให้เขาฟัง ทั้งรักษาคนที่ต้องการให้ท่านรักษา 12 เมื่อเย็นมากแล้ว สาวกทั้งสิบสองคนมาบอกท่านว่า “ให้พวกประชาชนกลับไปเสียเถิด พวกเขาจะได้ไปตามหมู่บ้านใกล้ๆ นี้หาที่พักและอาหารรับประทาน เพราะที่นี่เปลี่ยว”

         13 แต่อีซาบอกแก่เขาว่า “พวกท่านไปหาอาหารมาให้เขารับประทานกันเถิด”

         พวกสาวกตอบว่า “เรามีขนมปังอยู่ห้าก้อนกับปลาสองตัวเท่านั้น ท่านจะให้พวกเราไปซื้ออาหารมาแจกคนมากมายเช่นนี้หรือ?” 14 (นับแต่ผู้ชายมีประมาณห้าพันคน)

         อีซาสั่งพวกสาวกว่า “บอกประชาชนให้นั่งลงเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละห้าสิบคน”

         15 พวกสาวกก็ปฏิบัติตาม 16 อีซาหยิบขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวขึ้นมาเงยหน้าขึ้นสู่ฟ้า ขอชุโกธต่อ อัลลอฮฺ แล้วหักขนมปังและบิปลาออกส่งให้สาวกเอาไปแจกประชาชน 17 ทุกคนก็รับประทานจนอิ่มทั่วกัน แล้วพวกสาวกเก็บอาหารที่เหลือกินได้สิบสองกระบุงเต็ม

คำยอมรับของเปโตร

         18 ครั้งหนึ่ง อีซาขอดุอาอ์อยู่ตามลำพัง พวกสาวกพากันมาหาท่าน ท่านถามเขาว่า “ประชาชนว่าเราเป็นผู้ใด?”

         19“บางคนว่าท่านเป็นนบียะหฺยา(ผู้ให้บัพติศมา)” พวกสาวกตอบ “บ้างก็ว่า ท่านเป็นนบีอิลยาส บ้างก็ว่าเป็นนบีในสมัยโบราณกลับฟื้นขึ้นมาอีก”

         20 “แล้วพวกท่านเล่า?” อีซาถาม “ท่านว่าเราเป็นใคร?”

         “ท่านเป็นอัล-มะซีฮฺของอัลลอฮฺ” เปโตรตอบ

อีซากล่าวถึงความทรมานและความตายที่จะได้รับ

         21 แล้วอีซากำชับเขาไม่ให้บอกผู้ใด 22 และกล่าวเพิ่มเติมว่า “บุตรมนุษย์จะต้องถูกทรมานอย่างแสนสาหัส พวกผู้ใหญ่ของชาวยาฮูดี พวกผู้นำทางศาสนา   และพวกธรรมาจารย์จะไม่ยอมรับท่าน และเอาท่านไปประหาร ในวันที่สามท่านจะฟื้นขึ้นมาจากตาย”

         23 ท่านสอนพวกเขาต่อไปว่า “ถ้าใครอยากจะตามเรามาต้องสละตน ทุกวันจะต้องอุตส่าห์แบกกางเขนของตนตามเราไป 24 เพราะคนที่ต้องการจะให้ชีวิตของตนรอด กลับจะต้องสูญเสียชีวิต แต่คนที่ยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา ก็จะกลับรอดชีวิต 25 ถ้าคนหนึ่งคนใดชนะได้สิ่งต่างๆ มาหมดโลกดุนยา แต่ต้องสูญเสียชีวิตของตนไป จะได้ประโยชน์อะไรเล่า? ไม่เป็นประโยชน์แน่ 26 ถ้าผู้ใดรู้สึกละอายเพราะเราหรือเพราะคำสอนของเรา บุตรมนุษย์ก็จะละอายเพราะผู้นั้นเหมือนกัน ในเวลาที่ท่านมาด้วยศักดิ์ศรีของท่าน ของพระบิดา และของเหล่ามลาอิกะฮฺบริสุทธิ์ 27 จำไว้นะว่า มีบางคนที่อยู่ในที่นี้จะไม่ตายจนกว่าจะได้รู้ได้เห็นการปกครองของอัลลอฮฺ”

อีซาประกอบด้วยรัศมี

         28 ประมาณแปดวันต่อมาหลังจากที่อีซากล่าวเช่นนั้น ท่านพาเปโตร ยะหฺยา และยะอฺกูบขึ้นไปบนภูเขากับท่านเพื่อจะขอดุอาอ์ 29 ขณะที่กำลังขอดุอาอ์อยู่นั้น ใบหน้าของท่านก็เปลี่ยนไป เสื้อผ้าของท่านเปลี่ยนเป็นประกายวาววับ 30 ทันใดนั้นเอง มีชายสองคนมาสนทนากับท่าน คือ นบีมูซาและนบีอิลยาส 31 ผู้มาปรากฏด้วยรัศมี ต่างสนทนากับท่านถึงเรื่องที่ท่านจะทำตามพระประสงค์ของอัลลอฮฺให้สำเร็จ โดยการตายในกรุงเยรูซาเล็ม 32 เปโตรกับเพื่อนสองคนกำลังหลับสนิท แต่เมื่อเขาตื่นขึ้น เขาเห็นอีซาประกอบด้วยรัศมีและมีชายสองคนอยู่กับท่านด้วย 33 พอชายสองคนนั้นกำลังจะจากไป เปโตรก็ถามอีซาว่า “ท่านอาจารย์ ช่างประเสริฐแท้ที่เราได้มาอยู่ที่นี่ เราจะสร้างพลับพลาขึ้นสามหลัง ให้ท่านอยู่หลังหนึ่ง นบีมูซาอยู่หลังหนึ่ง และให้นบีอิลยาสอยู่อีกหลังหนึ่ง” (เขาพูดไปโดยไม่รู้ตัวว่าตนพูดอะไรออกไป)

         34 เขาพูดยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเมฆลอยมาคลุมพวกเขาไว้ พวกสาวกกลัวมาก 35 มีเสียงดังมาจากเมฆนั้นว่า “นี่เป็นบุตรของเรา ผู้ที่เราเลือกสรร จงเชื่อฟังท่านเถิด”

         36 เมื่อสิ้นเสียงนั้นแล้ว เหลืออีซาแต่ผู้เดียว พวกสาวกก็เก็บงำเรื่องนี้ไว้ในใจ ไม่ได้เล่าเรื่องที่เห็นนี้ให้ผู้ใดฟังในเวลานั้น

อีซารักษาเด็กที่ถูกชัยฏอนเข้าสิง

         37 วันรุ่งขึ้น อีซาพาพวกสาวกลงไปจากภูเขา มีคนหมู่ใหญ่มาหาท่าน 38 ชายคนหนึ่งตะโกนเรียกออกมาจากกลุ่มคนว่า “อาจารย์ ช่วยลูกของข้าพเจ้าด้วย เพราะข้าพ เจ้ามีลูกเพียงคนเดียว 39 เขาถูกชัยฏอนเข้าสิง เดี๋ยวก็ตะโกนโห่ร้อง เดี๋ยวก็ชักน้ำลายฟูมปาก บางครั้งก็ทำตัวเองให้ฟกช้ำ มันไม่ยอมออกไปจากตัวลูกของข้าพเจ้าเลย 40 ข้าพเจ้าขอให้สาวกของท่านไล่มันออก แต่พวกเขาทำไม่ได้”

         41 อีซาตอบพวกเขาว่า “ทำไมนะพวกท่านจึงไม่ยอมศรัทธา จะให้เราอยู่กับท่านนานถึงเพียงไหน? เราจะต้องอดทนต่อไปนานเท่าใด? ไหนไปพาลูกมานี่ซิ”

42 ขณะที่เด็กกำลังเดินมา ชัยฏอนก็ผลักเขาล้มลงฟาดพื้นทำให้เขาชักดิ้นชักงอ อีซาตวาดชัยฏอนนั้น ไล่มันออกไป แล้วรักษาเด็ก เสร็จแล้วก็คืนเด็กนั้นให้แก่พ่อของเขา 43 คนทั้งปวงต่างอัศจรรย์ใจในความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ

อีซากล่าวถึงความตายของท่านอีก

         เมื่อประชาชนยังอัศจรรย์ใจที่เห็นอีซากระทำสิ่งเหล่านี้ ท่านกำชับพวกสาวกว่า    44 “อย่าลืมนึกถึงคำที่เราพูดไว้ บุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือมนุษย์” 45 แต่พวกสาวกไม่ทราบว่าท่านหมายถึงอะไร เพราะความหมายถูกปิดบังไว้จากพวกเขา เพื่อพวกเขาจะไม่เข้าใจ และพวกสาวกก็ไม่กล้าถามท่านด้วย

ใครยิ่งใหญ่ที่สุด

         46 ได้เกิดการโต้เถียงกันขึ้นในหมู่พวกสาวกว่า ใครจะใหญ่กว่ากัน 47 อีซาทราบดีว่าเขาคิดอะไร จึงพาเด็กคนหนึ่งมายืนข้างๆ ท่าน 48 แล้วชี้แจงแก่พวกเขาว่า “ใครที่ต้อนรับเด็กนี้เพราะเห็นแก่เรา ก็เท่ากับว่าต้อนรับเรา ใครก็ตามที่ต้อนรับเรา ก็เท่ากับว่าต้อนรับผู้ที่ได้ใช้เรามา เพราะแท้จริงแล้ว คนที่ต่ำต้อยที่สุดในพวกท่านเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”

ผู้ที่ไม่ขัดขวางท่านก็เป็นฝ่ายท่าน

         49 ยะหฺยากล่าวขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ พวกเราเห็นชายคนหนึ่งไล่ชัยฏอนออกโดยใช้ชื่อของท่าน พวกเราพากันห้ามเขาเพราะเขาไม่ได้เป็นพวกเดียวกับเรา”

         50 อีซาพูดกับเขาว่า “อย่าไปห้ามเขาเลย เพราะใครที่ไม่ขัดขวางท่านก็ย่อมเป็นพวกเดียวกับท่าน”

         51 วันกำหนดที่อัลลอฮฺจะทรงรับอีซาขึ้นไปใกล้เข้ามาแล้ว ท่านจึงตั้งใจจะไปกรุงเยรูซาเล็ม 52 และใช้พวกสาวกให้ล่วงหน้าไปก่อน เขาเข้าไปยังหมู่บ้านชาวสะมาเรียเพื่อจัดแจงทุกสิ่งไว้รับอีซา 53 แต่คนที่นั่นไม่ยอมต้อนรับท่านเพราะเห็นว่าท่านจะไปกรุงเยรูซาเล็ม 54 เมื่อยะอฺกูบและยะหฺยาสาวกของท่านเห็นดังนี้ก็บอกว่า    “ท่านเจ้าข้า ให้เราเรียกไฟจากสรวงสวรรค์ลงมาเผาพวกนี้เสียดีไหม?”

         55 อีซาหันไปตำหนิเขาทั้งสอง 56 และท่านกับเหล่าสาวกก็พากันไปที่หมู่บ้านอื่น

ผู้ที่จะเป็นสาวกของอีซา

         57 ขณะที่ไปตามทางนั้น มีชายคนหนึ่งบอกท่านว่า “ข้าพเจ้าจะขอตามท่านไป ไม่ว่าท่านจะไปทางใด” 58 อีซาชี้แจงแก่เขาว่า “สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง แม้นกก็ยังมีรัง แต่เราผู้เป็นบุตรมนุษย์ไม่มีที่จะพักผ่อนหลับนอน”

         59 แล้วท่านกล่าวกับชายอีกคนหนึ่งว่า “ตามเรามาเถิด” ชายคนนั้นตอบว่า “ท่านเจ้าข้า ขอข้าพเจ้ากลับไปฝังศพบิดาเสียก่อน” 60 อีซาตอบว่า “ให้คนตายฝังคนตายกันเองเถิด ส่วนท่านจงไปประกาศเรื่องการปกครองของอัลลอฮฺ”

         61 ส่วนอีกคนหนึ่งกล่าวว่า “ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะตามท่านไป แต่ขอกลับไปร่ำลาทางบ้านของข้าพเจ้าก่อน” 62 อีซากล่าวว่า “ใครก็ตามที่ลงมือจับคันไถแล้วเฝ้าแต่เหลียวหลัง เขาก็ไม่เป็นประโยชน์ในการปกครองของอัลลอฮฺ”

ลูกา 10

อีซาส่งสาวกเจ็ดสิบสองคนออกไป

         1 หลังจากนั้นอีซาผู้เป็นเจ้านายเลือกสาวกอีกเจ็ดสิบสองคน ส่งเขาออกไปเป็นคู่ๆ ให้ล่วงหน้าไปตามที่ต่างๆ ที่ท่านจะไปนั้น       2 แล้วกล่าวกับเขาเป็นคำเปรียบเทียบว่า  “เวลานี้มีข้าวแก่จัดอยู่มากมาย แต่คนงานยังมีน้อยนัก จงอ้อนวอนเจ้าของนาให้ส่งคนงานมามากๆ จะได้ช่วยกันเก็บเกี่ยว 3 ไปเถิด เราส่งพวกท่านไปเหมือนลูกแกะที่อยู่ท่ามกลางฝูงสุนัขป่า 4 ไม่ต้องเอาถุงเงิน หรือย่าม หรือรองเท้าไป จงอย่าแวะทักทายใครตามถนน 5 ก่อนที่จะเข้าไปในบ้านใด ให้กล่าวว่า ‘ขอให้สันติสุขอยู่กับครอบครัวนี้เถิด’ 6 ถ้ามีคนรักสันติอยู่ในบ้านนั้น ก็ให้คำทักทายแห่งสันติสุขอยู่กับเขา ถ้าไม่มีก็ให้คำทักทายแห่งสันติสุขกลับคืนสู่ท่าน 7 จงพักอยู่ในบ้านนั้น กินอาหารและดื่มตามที่เขาจัดหาให้ เพราะคนงานสมควรจะได้รับค่าแรง อย่าย้ายไปบ้านนั้นบ้างบ้านนี้บ้าง 8 เมื่อเข้าไปในเมืองใดที่เขาต้อนรับท่าน จงรับประทานสิ่งที่เขาจัดมาให้ 9 และรักษาคนเจ็บป่วยในเมืองนั้น แล้วสอนเขาว่า ‘การปกครองของอัลลอฮฺใกล้จะมาถึงพวกท่านแล้ว’ 10 แต่ถ้าพวกท่านเข้าไปในเมืองใดแล้วไม่มีใครต้อนรับ จงออกไปประกาศกลางถนนว่า 11 ‘แม้แต่ผงคลีดินของเมืองนี้ที่เกาะติดเท้าของเรา เราก็สะบัดออกเพื่อประท้วงพวกท่าน จงรู้เถิดว่า การปกครองของอัลลอฮฺใกล้จะมาถึงแล้ว’ 12 เราขอบอกท่านว่า ในวันกิยามะฮฺนั้น อัลลอฮฺจะทรงเมตตาแก่เมืองโสโดมยิ่งกว่าเมืองนี้เสียอีก

เมืองที่ไม่กลับใจใหม่

         13 “วิบัติแก่เจ้า เมืองโคราซิน วิบัติแก่เจ้า เมืองเบธไซดา เพราะถ้าฤทธานุภาพเหล่านี้ได้กระทำในเมืองไทระและไซดอน ชาวเมืองนั้นคงจะห่มผ้ากระสอบ นั่งลงบนกองขี้เถ้า แล้วกอบเอามาโปรยใส่ตัวเสียนานแล้ว เพื่อแสดงให้เห็นว่า เขากลับใจใหม่ 14 ในวันกิยามะฮฺนั้น อัลลอฮฺจะทรงเมตตาแก่เมืองไทระและไซดอนมากกว่าเจ้า 15 เมืองคาเปอรนาอุมเอ๋ย เจ้าอยากจะยกตัวขึ้นให้เลิศลอยฟ้าหรือ? แต่เจ้าจะกลับถูกโยนลง  นรก”

         16 อีซากล่าวแก่พวกสาวกว่า “ใครที่ยอมฟังพวกท่านก็เท่ากับเขายอมฟังเรา ใครที่ไม่ยอมรับพวกท่านก็เท่ากับเขาไม่ยอมรับเรา ใครที่ไม่ยอมรับเรา เขาก็ไม่ยอมรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา”

สาวกเจ็ดสิบสองคนกลับมา

         17 สาวกเจ็ดสิบสองคนกลับมาหาอีซาด้วยความดีใจกล่าวรายงานว่า “ท่านเจ้าข้า แม้แต่ชัยฏอนก็ยังเชื่อฟังเราเมื่อเราสั่งมันในนามของท่าน”

         18 อีซาตอบว่า “เราเห็นอิบลิสตกลงมาเหมือนฟ้าแลบจากสรวงสวรรค์ 19 นี่แน่ะ ฟังให้ดี เราให้พวกท่านมีอำนาจแล้ว พวกท่านจึงไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใดเมื่อเหยียบงูหรือแมงป่อง ท่านจะมีอำนาจเหนือศัตรูร้าย ไม่มีอะไรจะมาทำอันตรายได้ 20 อย่าดีใจไปเพราะพวกชัยฏอนเชื่อฟังท่าน แต่ควรจะดีใจเพราะชื่อของท่านนั้นจารึกไว้ในสรวงสวรรค์”

อีซาปลาบปลื้มใจ

         21 ขณะนั้นอัลรูฮุลกุดุซูทรงทำให้อีซาปลาบปลื้มใจ ท่านจึงกล่าวว่า “พระบิดาเจ้าข้า พระผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และพิภพโลก ข้าพระองค์ขอชุโกธต่อพระองค์ ที่ทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้ไว้จากคนมีปัญญาและผู้มีความรู้ แต่กลับทรงเปิดเผยแก่ผู้ที่ไร้การศึกษา ถูกแล้วที่พระองค์ทรงเลือกกระทำตามพระทัยของพระองค์”

         22 “พระบิดาของเราทรงมอบทุกสิ่งให้เราแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าบุตรของพระองค์เป็นผู้ใดนอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้ว่าพระบิดาเป็นผู้ใดนอกจากอัล-มะซีฮฺกับผู้ที่อัล-มะซีฮฺต้องการจะเปิดเผยให้รู้”

         23 แล้วอีซาหันมากล่าวแก่พวกสาวกเป็นส่วนตัวว่า “ผู้ที่ได้เห็นสิ่งต่างๆ อย่างที่พวกท่านเห็นก็เป็นสุข 24 เราขอบอกท่านว่า มีนบีและกษัตริย์มากมายอยากจะเห็นอย่างพวกท่าน แต่ก็ไม่ได้เห็น อยากฟังอย่างพวกท่าน แต่ก็ไม่ได้ฟัง”

ชาวสะมาเรียใจดี

         25   แล้วมีธรรมาจารย์ผู้หนึ่งอยากจะทดลองอีซา “อาจารย์” เขาถามท่าน “ข้าพเจ้าจะต้องทำอย่างไรบ้างจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์?”

         26 อีซากล่าวถามเขาว่า “คัมภีร์เตารอฮฺกล่าวไว้อย่างไรเล่า? ท่านตีความหมายในนั้นว่าอย่างไร?”

         27 ชายคนนั้นตอบว่า “จงรักอัลลอฮฺ ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าอย่างสุดใจ สุดจิตวิญญาณ มีกำลังและความคิดอยู่เท่าไรก็ให้รักอัลลอฮฺจนหมดสิ้น และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”

         28 “ท่านตอบถูกแล้ว” อีซาตอบ “จงทำอย่างนั้นแล้วจะได้ชีวิตนิรันดร์”

         29 แต่ธรรมาจารย์ผู้นั้นอยากจะแก้ตัว  จึงถามต่อไปว่า “แล้วใครเล่าที่เป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า?”

         30 อีซาจึงตอบเขาโดยยกเรื่องหนึ่งมาเล่าให้ฟังว่า “มีชายคนหนึ่งเดินทางจากกรุงเยรูซาเล็มจะไปเมืองเยรีโค ระหว่างทางเขาถูกพวกโจรปล้น ถอดเอาเสื้อผ้าชั้นนอกไป แล้วทุบตีเขา ทิ้งเขาไว้เกือบจะตายอยู่แล้ว 31 เผอิญมีผู้ประกอบพิธีทางศาสนาเดินมาตามถนนนั้นเห็นเข้า ก็ข้ามถนนไปเดินอีกฟากหนึ่ง 32 ต่อมามีคนหนึ่งในเผ่าเลวีผ่านมาเห็นก็แวะไปดู แต่แล้วก็ข้ามถนนไปเดินเสียอีกฟากหนึ่ง 33 ในที่สุดมีชาวสะมาเรียผู้หนึ่งเดินมาทางนั้น เห็นชายผู้นี้ก็สงสาร 34 จึงเดินเข้าไปหา ช่วยเอาน้ำมันและน้ำองุ่นหมักใส่แผล แล้วพันแผลให้ พาขึ้นหลังสัตว์ที่ตนขี่ จูงมาถึงบ้านพักที่มีห้องเช่า ช่วยดูแลพยาบาลให้ 35 วันรุ่งขึ้น เขาจ่ายสองเหรียญเงินให้เจ้าของห้องเช่าไว้ สั่งว่า “ช่วยดูแลเขาให้ดีด้วยนะ ขากลับข้าพเจ้าจะแวะมาจ่ายเงินที่ท่านออกไปก่อนคืนให้”

         36 แล้วอีซากล่าวสรุปว่า “ในสามคนนี้ คนไหนเป็นเพื่อนบ้านของคนที่ถูกโจรปล้นเล่า?”

         37 ธรรมาจารย์ตอบว่า “คนที่ช่วยเหลือเขาซิ”

         อีซากล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านจงกลับไปทำอย่างเดียวกัน” 

อีซาไปเยี่ยมมารธาและมัรฺยัม

         38 ขณะที่อีซาเดินทางไปกับพวกสาวก ท่านมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีหญิงคนหนึ่งชื่อมารธา ออกมาเชื้อเชิญให้ท่านไปพักที่บ้านของนาง 39 มารธามีน้องสาวชื่อมัรฺยัม ซึ่งนั่งอยู่แทบเท้าของอีซาผู้เป็นเจ้านายฟังท่านกล่าวสอน 40 ส่วนมารธามัวยุ่งวุ่นวายอยู่กับการจัดหาอาหารอยู่คนเดียวก็ไม่พอใจ จึงมาบอกอีซาว่า “ท่านเจ้าข้า ไม่เห็นหรือว่าน้องสาวของข้าพเจ้าปล่อยให้ข้าพเจ้าทำงานอยู่คนเดียว? ช่วยบอกให้เขามาช่วยข้าพเจ้า”

         41 อีซาผู้เป็นเจ้านายตอบว่า “มารธา มารธา เธอเป็นห่วงเป็นกังวลในหลายสิ่งหลายอย่างนัก 42 แต่สิ่งสำคัญก็มีเพียงประการเดียว และมัรฺยัมเลือกเอาสิ่งที่ถูกต้องนั้นแล้ว ไม่มีใครจะมาเอาไปจากเธอได้”

ลูกา 11

อีซาสอนเรื่องการขอดุอาอ์

         1 ครั้งหนึ่ง อีซาขอดุอาอ์อยู่ในที่แห่งหนึ่ง เมื่อขอดุอาอ์จบแล้ว  สาวกคนหนึ่งของท่านเข้ามาหากล่าวว่า  “ท่านเจ้าข้า ขอสอนพวกเราขอดุอาอ์บ้างเหมือนดังที่นบียะหฺยาสอนศิษย์ของเขา”

         2   อีซาจึงสอนพวกเขาว่า  “พวกท่านควรจะขอ ดุอาอ์อย่างนี้

         ‘ข้าแต่อัลลอฮฺผู้ทรงเป็นพระบิดา     ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพนับถือ   ขอให้การปกครองของพระองค์มาตั้งอยู่ 3 ขอทรงโปรดประทานอาหารแก่บ่าวทั้งหลายทุกวัน 4 และทรงยกโทษบาปของบ่าวทั้งหลาย เพราะบ่าวทั้งหลายได้ยกโทษให้ทุกคนที่ทำผิดต่อบ่าวทั้งหลาย ขออย่าทรงนำบ่าวทั้งหลายไปสู่การทดลอง’ ”

         5 อีซากล่าวสอนพวกสาวกต่อไปว่า “สมมุติว่าคนหนึ่งในพวกท่านไปที่บ้านเพื่อนในตอนเที่ยงคืน อ้อนวอนว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ขอยืมขนมปังสักสามก้อนเถิด 6 เพื่อนของข้าเพิ่งเดินทางมาถึงบ้านข้า ข้าไม่มีอาหารติดบ้านจะให้เขากินเลย’ 7 ถ้าเพื่อนที่อยู่ในบ้านจะตะโกนปฏิเสธออกมาว่า ‘อย่ากวนใจข้าเลย ประตูก็ปิดแล้ว ตัวข้าเองกับลูกๆ ก็เข้านอนกันหมดแล้ว ข้าลุกขึ้นไปหยิบให้ไม่ได้’ ” 8 อีซากล่าวต่อไปว่า “เราจะบอกท่านว่า ถ้าแม้เขาไม่ลุกขึ้นหยิบให้เพราะเหตุที่เป็นเพื่อนกัน เขาก็จะต้องลุกขึ้นหยิบสิ่งที่ท่านต้องการให้เพราะเหตุที่ท่านเฝ้ารบเร้าขอ

         9 “เราขอบอกท่านว่า จงขอแล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหาแล้วท่านจะพบ จงเคาะแล้วเขาจะเปิดประตูให้ 10 เพราะทุกคนที่เฝ้าขอก็จะได้รับ ทุกคนที่หมั่นแสวงหาก็จะพบ และเขาก็จะเปิดประตูให้ผู้ที่เคาะ 11 มีพ่อคนไหนบ้างจะเอางูให้ลูกเมื่อลูกขอปลา? 12 หรือเอาแมงป่องให้ลูกเมื่อลูกร้องขอไข่? 13 คนบาปอย่างท่านยังรู้จักให้สิ่งที่ดีแก่ลูก แล้วพระบิดาในสรวงสวรรค์เล่า จะทรงให้ยิ่งกว่านั้นสักเท่าไร พระองค์จะไม่ทรงให้อัลรูฮุลกุดุซูแก่ผู้ที่ขอหรือ?”

อีซาและเบเอลเซบูล

         14 อีซากำลังไล่ชัยฏอนใบ้ออกจากชายคนหนึ่ง เมื่อชัยฏอนออกไปแล้ว ชายนั้นก็พูดได้ มหาชนอัศจรรย์ใจยิ่งนัก 15 มีบางคนกล่าวว่า “เบเอลเซบูลหัวหน้าชัยฏอนเป็นผู้ให้อำนาจไล่ชัยฏอนแก่เขา”

         16 บางคนอยากจะจับผิดอีซา จึงขอให้ท่านกระทำการอัศจรรย์ เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ว่า ท่านมาจากอัลลอฮฺ 17 แต่อีซาทราบความคิดของเขาจึงกล่าวว่า “เมืองใดแตกแยกกันออกเป็นหลายพวก ต่างรบราฆ่าฟันกัน เมืองนั้นจะต้องล่มจมไป ถ้าครอบครัวใดแตกแยก ครอบครัวนั้นย่อมเสื่อมสูญ 18 ดังนั้น ถ้าอาณาจักรของอิบลิสแตกแยกออกต่อสู้กัน มันจะตั้งอยู่ได้อย่างไรเล่า?   ท่านว่า เราไล่ชัยฏอนออกได้เพราะ เบเอลเซบูลให้อำนาจแก่เราหรือ 19 ถ้าเราไล่มันออกด้วยวิธีนี้แล้ว พวกของท่านไล่มันออกด้วยวิธีไหน? พวกของท่านเองก็ชี้ให้เห็นแล้วว่าท่านผิดถนัด 20 ไม่ใช่อำนาจของอิบลิสแน่ แต่อำนาจของอัลลอฮฺต่างหากที่ทำให้เราไล่ชัยฏอนออกได้ นี่ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การปกครองของอัลลอฮฺมาถึงพวกท่านแล้ว

         21 “บ้านใดที่มีผู้มีกำลังมากถืออาวุธครบมือเฝ้าบ้านเรือนของตนไว้ สิ่งของของเขาย่อมปลอดภัย

22 แต่ถ้ามีผู้ที่มีกำลังมากกว่ามาโจมตีและเอาชนะเขา อาวุธที่เจ้าของบ้านใช้ป้องกันจะถูกขนออกไปหมด และสิ่งของจะถูกนำมาแบ่งปันกัน

23 “คนใดที่ไม่เป็นฝ่ายเราย่อมจะต่อสู้เรา ผู้ที่ไม่ยอมช่วยเราเก็บรวบรวม เขาย่อมจะเป็นผู้ที่ทำให้กระจัดกระจายไป

ชัยฏอนกลับมาอีก

         24 “เมื่อชัยฏอนออกไปจากมนุษย์คนใดแล้ว มันจะเที่ยวไปทั่วที่แห้งแล้งเพื่อมองหาที่อยู่ใหม่ ถ้ามันหาไม่พบ มันจะกล่าวแก่ตัวเองว่า ‘ข้าจะกลับไปบ้านที่ข้าจากมานั้น’ 25 “แล้วมันก็กลับไปพบว่าบ้านนั้นสะอาด ตกแต่งไว้อย่างดี 26 มันจึงออกไปพาชัยฏอนมาอยู่ด้วยกันอีกเจ็ดตนล้วนแต่ร้ายกาจกว่าตัวมันเองทั้งสิ้น ดังนั้น สภาพของชายนั้นจะแย่ยิ่งกว่าที่เขาเป็นในตอนแรกเสียอีก”

ความสุขที่แท้จริง

         27 พออีซากล่าวดังนี้แล้ว มีหญิงผู้หนึ่งในกลุ่มคน กล่าวขึ้นมาดังๆ ว่า “หญิงที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูท่านผู้นี้จะเป็นสุขสักเพียงใด”

         28แต่อีซากล่าวว่า “คนที่ฟังพระดำรัสของอัลลอฮฺ แล้วเอาไปประพฤติตามต่างหากที่จะมีความสุขยิ่งกว่า นั้นมากนัก”

คนที่อยากเห็นหมายสำคัญ

         29 เมื่อมีคนมามุงฟังอีซามากเข้า ท่านจึงกล่าวสอนว่า “คนทุกวันนี้ชั่วช้านัก เขาขอเห็นหมายสำคัญ แต่จะไม่มีใครได้เห็นและได้รับเลยนอกจากหมายสำคัญของนบียูนุส 30 นบียูนุสเป็นหมายสำคัญแก่ชาวเมืองนีนะเวห์อย่างไร เราผู้เป็นบุตรมนุษย์ก็เป็นหมายสำคัญแก่คนสมัยนี้อย่างนั้น 31 ในวันกิยามะฮฺ พระราชินีจากประเทศทางตอนใต้จะลุกขึ้นประณามคนในยุคนี้ เพราะพระนางทรงเดินทางมาไกลแสนไกลเพื่อจะมาฟังสติปัญญาของกษัตริย์สุลัยมาน แต่เราบอกพวกท่านว่า มีผู้ยิ่งใหญ่กว่านบีสุลัยมานอยู่ที่นี่แล้ว 32 ในวันกิยามะฮฺ ชาวเมืองนีนะเวห์จะลุกขึ้นประณามพวกท่าน เพราะพวกเขากลับใจใหม่เมื่อได้ยินนบียูนุสประกาศ แต่เราบอกพวกท่านว่า มีผู้ยิ่งใหญ่กว่านบียูนุสอยู่ที่นี่แล้ว

ความสว่างและความมืด

         33 “ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วเอาแอบไว้ หรือจุดแล้วเอาถังครอบไว้ เขาจะเอาตั้งไว้บนหิ้งเพื่อให้ผู้ที่จะเข้ามาในห้องนั้นเห็นแสงสว่าง 34 ตาเป็นประทีปของร่างกาย ถ้าตาของท่านปกติ ทั้งตัวของท่านก็สว่างไปด้วย แต่ถ้าตาของท่านไม่ปกติ ทั้งตัวก็พลอยมืดไปด้วย 35 ฉะนั้น จงระวังไว้ อย่าให้ความสว่างที่อยู่ในท่านกลายเป็นความมืด 36 ถ้าท่านเต็มไปด้วยความสว่างไม่มีความมืดเลย มันก็จะสว่างไปหมด เหมือนแสงสว่างของตะเกียงที่ส่องมายังท่าน”

อีซาตำหนิพวกฟาริสีและธรรมาจารย์

         37 พออีซากล่าวจบลง มีฟาริสีคนหนึ่งเชื้อเชิญท่านให้ไปรับประทานอาหารที่บ้านของเขา ท่านก็เข้าไปและนั่งลง 38 ฟาริสีผู้นั้นแปลกใจที่เห็นอีซาไม่ได้ทำพิธีชำระก่อนรับประทานอาหาร 39 อีซาผู้เป็นเจ้านายจึงกล่าวกับเขาว่า “เจ้าพวกฟาริสีดีแต่ล้างถ้วยชามแต่เพียงภายนอก แต่ภายในใจซิเต็มไปด้วยความโลภและความชั่วร้าย 40 ช่างเขลาเสียเหลือเกิน อัลลอฮฺผู้ทรงสร้างภายนอกเป็นผู้สร้างใจซึ่งอยู่ข้างในด้วยมิใช่หรือ? 41 จงให้สิ่งที่อยู่ภายในถ้วยชามนั้นแก่คนยากจน แล้วทุกสิ่งจะกลับเป็นของสะอาดสำหรับเจ้า

         42 “วิบัติแก่เจ้าพวกฟาริสี เจ้าถวายขมิ้น สะระแหน่ กับผักต่างๆ หนึ่งส่วนจากสิบส่วนที่เจ้ามีอยู่ แต่กลับละเลยความยุติธรรมและความรักต่ออัลลอฮฺ เจ้าควรจะกระทำสิ่งเหล่านี้ด้วย โดยที่ไม่ได้ละเลยสิ่งอื่นๆ 43 “วิบัติแก่เจ้าพวกฟาริสี เจ้าชอบที่นั่งอันมีเกียรติในธรรมศาลา ชอบให้ใครๆ เคารพเจ้ากลางตลาด 44 วิบัติแก่พวกเจ้า เจ้าเป็นเหมือนหลุมฝังศพที่เขาไม่ได้ทำเครื่องหมายไว้ คนที่เดินข้างบนก็ไม่รู้ว่าตนเหยียบหลุมศพ”

         45 ธรรมาจารย์คนหนึ่งท้วงอีซาว่า “อาจารย์ ท่านกล่าวเช่นนี้เป็นการดูหมิ่นพวกเรามาก”

         46 อีซากล่าวตอบว่า “ใช่ วิบัติแก่เจ้าด้วยพวกธรรมาจารย์ เจ้าเอาภาระที่หนักเกินกำลังให้คนอื่นแบก แต่ตัวเจ้าเองไม่ยอมแม้แต่จะขยับนิ้วเข้าช่วยเขา 47 วิบัติแก่เจ้า เจ้าทำหลุมฝังศพสวยหรูให้บรรดานบี แต่บรรพบุรุษของเจ้าเองเป็นผู้ฆ่านบีเหล่านั้น 48 ซึ่งแสดงว่า เจ้าเองก็ยอมรับว่า เจ้าเห็นชอบด้วยกับสิ่งที่บรรพบุรุษของเจ้าทำ เพราะเขาฆ่านบีเหล่านั้น และเจ้าก็เป็นคนสร้างที่ฝังศพให้ 49 เพราะเหตุนี้แหละ อัลลอฮฺจึงตรัสด้วยพระปัญญาว่า ‘เราจะส่งบรรดานบีและซอฮาบะฮฺ ของเราไป แต่เขาจะถูกฆ่าเสียบ้าง และถูกข่มเหงบ้าง’ 50 ดังนั้น คนในยุคนี้จะถูกลงโทษที่บรรพบุรุษของเขาได้ฆ่าบรรดานบีมาตั้งแต่แรกสร้างโลกดุนยา 51 คือตั้งแต่สมัยฮาบิลถูกฆ่าลงมาจนถึงสมัยซะกะรียา ซึ่งถูกฆ่าระหว่างแท่นบูชากับสถานที่อันบริสุทธิ์ เราขอบอกเจ้าว่า คนในยุคนี้จะต้องถูกลงโทษที่พวกนั้นถูกฆ่าทั้งหมด

         52 “วิบัติแก่เจ้าพวกธรรมาจารย์ พวกเจ้าเป็นผู้กำความรู้ทั้งปวงไว้ เปรียบเสมือนผู้ถือกุญแจคลังความรู้ เจ้าเองไม่ยอมเข้าไป แล้วยังห้ามคนที่พยายามจะเข้าไปด้วย”

         53 เมื่ออีซาออกไปจากที่นั่นแล้ว ธรรมาจารย์กับพวกฟาริสีเริ่มโจมตีท่านหลายประ การ 54 เขาพยายามจะหลอกล่อท่านเพื่อจับผิดถ้อยคำของท่าน

ลูกา 12

อีซาตักเตือนคนหน้าซื่อใจคด

         1 เมื่อมีผู้คนหลายพันคนมามุงฟังอีซา จึงเกิดการผลักกันบ้าง เหยียบเท้ากันบ้าง อีซาหันไปสั่งพวกสาวก ว่า “ระวังเชื้อของพวกฟาริสีไว้ให้ดี เราหมายถึงการเป็นคนหน้าซื่อใจคด 2 สิ่งใดแอบแฝงอยู่จะต้องถูกเปิดโปง ความลับทุกอย่างจะถูกเปิดเผย 3 ดังนั้น สิ่งใดที่ท่านแอบกระซิบในที่มืด เขาจะเอามาประกาศในที่แจ้ง ไม่ว่าสิ่งใดที่ท่านกระซิบที่หูคนอื่นในห้องมิดชิด เขาจะเอามาตะโตนก้องจากหลังคาตึกให้ใครๆ ได้ยินกันทั่ว

จะเกรงกลัวใครดี

         4 “เราจะบอกให้ เพื่อนเอ๋ย อย่าเกรงกลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ทำอะไรท่านยิ่งกว่านี้อีกไม่ได้ 5 เราจะบอกให้ว่าควรจะเกรงกลัวใครดี จงเกรงกลัวอัลลอฮฺเถิด เพราะฆ่าแล้วก็ยังมีอำนาจโยนท่านลงนรกได้ เราขอบอกว่า จงเกรงกลัวพระองค์เถิด

6 “นกกระจาบห้าตัว เขาขายกันราคาไม่กี่สตางค์มิใช่หรือ? แต่กระนั้นอัลลอฮฺก็ไม่ทรงลืมมันแม้สักตัวเดียว 7 แม้แต่เส้นผมของพวกท่าน พระองค์ก็ทรงนับไว้หมดแล้ว ฉะนั้นอย่ามัววิตกกังวลไปเลย พวกท่านมีค่ามากกว่านกกระจาบหลายเท่านัก

การยอมรับหรือไม่ยอมรับอีซาต่อหน้ามนุษย์

         8 “เราขอบอกท่านว่า ใครก็ตามที่ประกาศตนอย่างเปิดเผยว่า เขารับเราต่อหน้ามนุษย์ เราผู้เป็นบุตรมนุษย์จะยอมรับผู้นั้นต่อหน้ามลาอิกะฮฺทั้งหลาย 9 แต่คนใดปฏิเสธไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์อย่างเปิดเผย บุตรมนุษย์จะปฏิเสธผู้นั้นต่อหน้ามลาอิกะฮฺทั้งหลายเช่น กัน

         10 “ใครก็ตามที่พูดจาต่อต้านบุตรมนุษย์ อัลลอฮฺจะยกโทษให้ผู้นั้นได้ แต่ผู้ใดที่กล่าวร้ายต่ออัลรูฮุลกุดุซู เขาจะไม่ได้รับการยกโทษเลย 11 “เมื่อเขาเอาตัวท่านมาไต่สวนในธรรมศาลา หรือเอามาไต่สวนต่อหน้าเจ้าเมืองหรือผู้พิพากษา อย่าเป็นทุกข์ว่าจะตอบอย่างไร 12 เพราะในเวลานั้น อัลรูฮุลกุดุซูจะดลใจท่านให้รู้ว่าท่านควรจะพูดอะไรบ้าง”

เศรษฐีโง่

         13 ชายคนหนึ่งในกลุ่มผู้ฟังพูดขึ้นว่า “อาจารย์ ช่วยบอกพี่ชายของข้าพเจ้าให้แบ่งมรดกที่คุณพ่อทิ้งไว้ให้ข้าพเจ้าบ้าง”

         14 อีซาจึงกล่าวว่า “ใครเล่ามาตั้งให้เราเป็นตุลาการไกล่เกลี่ยการแบ่งมรดกของท่านทั้งสอง?” 15 แล้วท่านกล่าวแก่ประชาชนว่า “ระวังให้ดี อย่าให้ความโลภเข้ามาครอบงำจิตใจท่านได้ เพราะชีวิตที่แท้จริงนั้น ไม่ใช่อยู่ที่ข้าวของไม่ว่าคนนั้นจะรวยสักเท่าใดก็ตาม”

         16 แล้วอีซากล่าวสอนเขาโดยใช้เรื่องเล่าเปรียบ เทียบว่า “มีเศรษฐีคนหนึ่ง ที่ดินของเขาเป็นที่ดินอุดมสมบูรณ์ ทำให้เขาได้พืชผลมาก 17 เขาจึงคิดในใจว่า ‘ข้าไม่มีที่พอเก็บพืชผลของข้าทั้งหมดนี้ ข้าจะทำอย่างไรดีเล่า? 18 อ้อ ทำอย่างนี้ดีกว่า’ เขาคิด ‘ข้าจะรื้อยุ้งฉางเก่าของข้าลงแล้วสร้างใหม่ให้ใหญ่โตกว่าเก่า จะได้เก็บข้าวและพืชผลที่เก็บได้ทั้งหมดของข้าไว้ 19 แล้วข้าจะพูดกับตัวเองว่า ไง พ่อคนโชคดี ข้ามีทุกสิ่งที่ข้าต้องการแล้ว กินใช้ไปได้หลายปีทีเดียว ต่อไปนี้กินดื่มเที่ยวให้สบายเถอะ’ 20 แต่อัลลอฮฺตรัสกับเศรษฐีผู้นี้ว่า ‘โอ คนโง่ คืนนี้เจ้าจะต้องสิ้นชีวิตลงแล้ว และข้าวของที่เจ้าอุตส่าห์สร้างสะสมไว้จะตกเป็นของใคร?’

         21 อีซากล่าวสรุปว่า “คนที่สะสมไว้มากเพื่อจะได้เป็นเศรษฐีก็เป็นเช่นนี้แหละ เขาไม่ได้เป็นคนมั่งมีในสายพระเนตรของอัลลอฮฺเลย”

อย่าวิตกกังวล

         22 แล้วอีซากล่าวสอนพวกสาวกว่า “นี่แหละ เราจึงได้เฝ้าสอนพวกท่านว่า อย่ามัววิตกกังวลถึงอาหารที่จะกินในแต่ละวัน หรือกังวลถึงเสื้อผ้าที่จะใช้สวมใส่ 23 เพราะชีวิตย่อมสำคัญกว่าอาหาร และร่างกายก็ย่อมสำคัญกว่าเสื้อผ้า 24 ดูพวกนกกาซิ มันไม่ต้องหว่านพืชหรือเก็บเกี่ยวแต่อย่างใดเลย ไม่ต้องมียุ้งฉางด้วย แต่อัลลอฮฺทรงเลี้ยงมัน พวกท่านมีค่ามากกว่านกมากนัก25 ความวิตกกังวลของท่านจะช่วยให้ท่านมีอายุยืนต่อไปได้อีกสักสองสามปีหรือ? 26 ถ้าสิ่งเล็กน้อยเพียงแค่นี้ พวกท่านยังทำไม่ได้ ก็แล้วจะมัวไปกังวลในเรื่องอื่นๆ ทำไมเล่า?

         27 ดูดอกไม้ป่าซิ มันบานได้อย่างไร มันไม่ต้องทำงานหรือเย็บเสื้อผ้าใส่เลย แต่เราจะบอกให้ว่า แม้แต่กษัตริย์สุลัยมานซึ่งบริบูรณ์ด้วยศักดิ์ศรีอย่างนั้น ก็ยังไม่มีเสื้อผ้าสวยงามเท่าดอกไม้เหล่านี้ 28 อัลลอฮฺทรงเป็นผู้ตกแต่งต้นหญ้า แต่ต้นหญ้าที่อยู่ที่นี่ในวันนี้ พรุ่งนี้ก็จะต้องถูกเผาทิ้งในเตาไฟ แล้วพระองค์จะไม่ทรงตกแต่งพวกท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ พวกท่านช่างมีศรัทธาน้อยเสียจริง

         29 “ดังนั้น อย่ามัววุ่นวายใจไปเลย อย่ามัวกังวลว่าจะกินอะไรหรือดื่มอะไรดี 30 (เพราะผู้ที่ไม่ยำเกรง อัลลอฮฺย่อมแสวงหาสิ่งเหล่านี้) พระบิดาของท่านรู้แล้วว่าท่านต้องการสิ่งเหล่านี้ 31 แต่จงแสวงหาการปกครองของอัลลอฮฺก่อน แล้วพระองค์จะทรงจัดหาสิ่งที่ท่านต้องการให้เอง

ทรัพย์สมบัติในสรวงสวรรค์

         32 “อย่ากลัวไปเลย ฝูงแกะเล็กน้อยเอ๋ย เพราะพระบิดาของพวกท่านยินดีที่จะประทานให้พวกท่านมีส่วนในการปกครองของพระองค์ 33 จงเอาข้าวของที่มีอยู่ขายและแจกให้คนจนเสียเถิด จงแสวงหาถุงเงินที่ไม่รู้จักเก่าหรือขาด แล้วเอาทรัพย์สมบัติของท่านเก็บไว้ในสรวงสวรรค์ มันจะไม่มีวันลดลง เพราะไม่มีขโมยหน้าไหนจะเข้าไปเอาได้ ทั้งไม่มีมอดจะไชทำลายมันได้ 34 ทั้งนี้เพราะทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน จิตใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย

คนรับใช้ที่คอยเฝ้าอยู่

         35 “จงเตรียมรับเหตุการณ์ที่จะมาถึงไว้ คอยส่องไฟและแต่งกายให้รัดกุม 36 เหมือนกับผู้ที่คอยเปิดประตูรับเมื่อนายกลับจากกินเลี้ยงในงานมงคลสมรส พอนายมาเคาะประตู เขาจะเปิดรับทันที 37 คนรับใช้ที่นายกลับมาพบว่าเฝ้าคอยนายอยู่ คนรับใช้นั้นจะเป็นสุขยิ่งนัก เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า นายจะคาดเอวให้รัดกุม เชิญให้คนรับใช้นั่งที่โต๊ะอาหารแล้วเป็นฝ่ายรับใช้เขา 38 คนรับใช้เหล่านั้นจะเป็นสุขยิ่งนัก ถ้านายมาพบว่าเขาเตรียมตัวคอยรับอยู่ แม้ว่านายจะมาตอนเที่ยงคืนหรือดึกกว่านั้นก็ตาม 39 จงรู้เถิดว่า ถ้าเจ้าของบ้านรู้ว่าขโมยจะมาเวลาไหน เขาจะไม่ยอมให้บ้านเขาถูกขโมยได้ 40 พวกท่านก็เช่นกัน จงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมเถิด เพราะเราผู้เป็นบุตรมนุษย์จะมาในเวลาที่พวกท่านนึกไม่ถึง”

คนรับใช้ที่ซื่อและไม่ซื่อ

         41 เปโตรถามขึ้นว่า “ท่านเจ้าข้า ท่านยกตัวอย่างนี้หมายถึงพวกข้าพเจ้าหรือ? หรือหมายถึงคนทั่วไป?” 42 อีซาผู้เป็นเจ้านายจึงกล่าวตอบเขาว่า “ใครเล่าเป็นคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์และเฉลียวฉลาด ก็คนนั้นแหละที่นายตั้งใจให้ดูแลบ้านและแจกอาหารให้คนรับใช้อื่นๆ ตามกำหนดเวลา 43 คนรับใช้คนนั้นจะเป็นสุขยิ่งสักเพียงไหน ถ้านายกลับมาบ้านแล้วพบเขากำลังทำตามหน้าที่อยู่ 44 เราขอบอกท่านว่า นายจะตั้งให้เขาดูแลทรัพย์สมบัติทั้งหมดของนาย 45 แต่ถ้าคนรับใช้คนนั้นจะคิดในใจว่า ‘ยังอีกนานกว่านายจะกลับมา’ แล้วลงมือโบยตีคนรับใช้อื่นๆ ทั้งชายและหญิง และกินดื่มจนเมา 46 แล้วเมื่อนายกลับมาในเวลาที่เขานึกไม่ถึงนั้นแหละ นายจะจับเขาลงโทษอย่างหนัก เขาจะต้องรับผลร้ายเช่นเดียวกับคนที่ไม่เชื่อฟังทั้งหลาย

         47 “คนรับใช้ที่รู้ใจนาย แต่ไม่เตรียมตัวและทำตามที่นายต้องการ เขาจะต้องถูกโบยตีด้วยหวาย 48 ส่วนคนรับใช้ที่ไม่รู้ใจนาย และทำในสิ่งที่ตนสมควรจะถูกโบย เขาก็จะถูกโบยเบากว่า คนใดได้รับมามาก ก็จะต้องให้ไปมาก คนใดที่ได้รับมอบหมายมามากก็ยิ่งต้องรับผิดชอบมากขึ้น

อีซาทำให้เกิดแตกแยก

         49 “เรามาเพื่อจะให้ไฟบังเกิดขึ้นที่แผ่นดินโลก และเราอยากให้ไฟนั้นลุกแล้ว 50 ไม่ช้าเราจะถูกทรมานอย่างแสนสาหัส และจะปวดร้าวใจจนกว่าความทรมานนั้นผ่านพ้นไป 51 พวกท่านคิดหรือว่าเรามาเพื่อนำความสงบมาสู่โลกดุนยานี้? เปล่าเลย เราขอบอกว่าเรามาเพื่อให้เกิดการแตกแยกต่างหาก 52 ตั้งแต่นี้ไป ครอบครัวที่มีห้าคนก็จะแตกแยกกัน คือสามต่อสอง และสองต่อสาม 53 พ่อจะแตกแยกกับลูกชาย ลูกชายกับพ่อ แม่กับลูกสาว ลูกสาวกับแม่ แม่ผัวกับลูก สะใภ้ ลูกสะใภ้กับแม่ผัว”

การเข้าใจความเป็นไปของสมัยนี้

         54 อีซากล่าวกับประชาชนอีกว่า “เมื่อเห็นเมฆมืดมาจากด้านตะวันตก ท่านก็จะพูดกันว่า ‘ฝนจะมาแล้ว’ แล้วก็จริงเสียด้วย 55 และเมื่อท่านสังเกตว่าลมพัดมาจากด้านใต้ ท่านก็ว่า ‘เดี๋ยวก็จะร้อนแล้ว’ และก็เป็นดังนั้น 56 โอ คนหน้าซื่อใจคด ท่านดูท้องฟ้าอากาศแล้วทายได้ว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง แต่ทำไมไม่รู้ว่าปัจจุบันนี้จะเป็นเช่นไรกัน?

การปรองดองกับฝ่ายตรงกันข้าม

         57 “ทำไมเล่าท่านจึงไม่ตัดสินใจทำสิ่งที่ถูกต้อง? 58 ถ้าใครฟ้องร้องจะเอาตัวท่านขึ้นศาล จงพยายามปรองดองกับเขาเสียเมื่อยังอยู่ระหว่างทาง มิฉะนั้นเขาจะฉุดลากท่านไปหาผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะมอบท่านไว้กับเจ้าหน้าที่ และเจ้าหน้าที่จะขังท่านไว้ในคุก 59 เราขอบอกท่านว่า ท่านจะออกมาไม่ได้จนกว่าจะชำระค่าปรับครบทุกบาททุกสตางค์”

ลูกา 13

เตาบะฮฺตัวเสียใหม่หรือจะพินาศ

         1 ในเวลานั้น มีคนที่อยู่ที่นั่นกล่าวกับอีซาถึงเรื่องชาวกาลิลีที่ถูกเจ้าเมืองปีลาตสั่งประหารชีวิตในขณะที่กำลังทำกุรฺบานมอบแด่อัลลอฮฺอยู่ 2 ท่านชี้แจงแก่เขาว่า “ท่านคิดว่าที่ชาวกาลิลีเหล่านั้นถูกฆ่าอย่างนั้น เป็นการพิสูจน์ว่าเขาบาปหนากว่าชาวกาลิลีอื่นๆ หรือ? 3 ไม่ใช่อย่างนั้น เราขอบอกท่านว่า ถ้าพวกท่านไม่กลับใจใหม่ท่านจะต้องตายเหมือนพวกนั้นเช่นกัน 4 แล้วพวกสิบแปดคนที่ถูกหอคอยสิโลอัมพังทับตายเล่า? ท่านคิดว่านั่นพิสูจน์ให้เห็นว่า เขาผิดมากกว่าคนอื่นๆ ที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มหรือ? 5 เปล่าเลย เราขอบอกท่านว่า ถ้าพวกท่านไม่กลับใจใหม่ท่านจะต้องตายอย่างทารุณเหมือนพวกนั้นเช่นกัน”

ต้นมะเดื่อที่ไม่มีผล

         6 แล้วอีซาเล่าเรื่องเปรียบเทียบให้พวกเขาฟังว่า “ชายผู้หนึ่งมีต้นมะเดื่อขึ้นอยู่ในสวนองุ่นของเขา เขาออกไปหาผลมะเดื่อแต่ไม่พบแม้แต่สักผลเดียว 7 เขาจึงบ่นกับคนสวนว่า ‘ดูซิ สามปีแล้วที่เราคอยกินผลจากมะเดื่อต้นนี้ แต่ก็ไม่เห็นมีสักผลเดียว โค่นมันทิ้งเสียเถิด จะให้ดินจืดไปเปล่าๆ ทำไม?’      8 แต่คนสวนกล่าวว่า ‘ปล่อยไว้ก่อนเถิดนาย ขออีกปีเดียวเท่านั้นแหละ ข้าพเจ้าจะพรวนดินแล้วใส่ปุ๋ยให้ดี 9 ถ้าปีหน้ามันออกผลก็จะดีไม่ใช่น้อย ถ้าไม่ออกผลเราค่อยโค่นมันทิ้งเสียก็แล้วกัน’ ”

อีซารักษาหญิงหลังโกงในวันบริสุทธิ์

         10 วันบริสุทธิ์วันหนึ่ง ขณะที่อีซากล่าวสอนอยู่ในธรรมศาลา 11 มีหญิงคนหนึ่งอยู่ที่นั่น นางมีชัยฏอนเข้าสิงอยู่ในตัวทำให้ป่วยมาสิบแปดปีแล้ว หลังโกงเหยียดตรงไม่ได้เลย 12 เมื่ออีซาเห็นนาง จึงเรียกมาและกล่าวว่า “หญิงเอ๋ยจงหายป่วยเถิด”   13 แล้วอีซาเอื้อมมือไปถูกต้องตัวนาง ทันใดนั้นนางก็ยืดตัวขึ้นได้ เอ่ยปากสรรเสริญอัลลอฮฺ

         14 หัวหน้าเจ้าหน้าที่ดูแลธรรมศาลาโกรธมากที่เห็นอีซารักษาคนป่วยในวันบริสุทธิ์ จึงกล่าวตำหนิกับประชาชนว่า “มีอยู่ถึงหกวันที่เราทำการงานได้ ทำไมไม่รักษาในวันเหล่านั้น ต้องมารักษาในวันบริสุทธิ์ด้วย”

         15 อีซาผู้เป็นเจ้านายตอบเขาว่า “โอ พวกคนหน้าซื่อใจคด ใครๆ ก็จะแก้วัวแก้ลา ออกจากคอกไปหาน้ำให้มันกินในวันบริสุทธิ์กันทั้งนั้น 16 แต่นี่เป็นเชื้อสายของ นบี อิบรอฮีมซึ่งถูกอิบลิสผูกมัดมาถึงสิบแปดปีแล้ว จะไม่ปล่อยให้เขาเป็นอิสระในวันบริสุทธิ์เชียวหรือ?” 17 คำตอบของท่านทำให้พวกศัตรูรู้สึกละอายใจ ส่วนประชาชนต่างชื่นชมในการอัศจรรย์ที่ท่านกระทำนี้

เรื่องเมล็ดพืช

         18 อีซาจึงกล่าวขึ้นว่า “การปกครองของอัลลอฮฺนั้นเปรียบเหมือนอะไร? เราจะเปรียบเทียบกับอะไรดีหนอ? 19 ก็เปรียบเหมือนกับเมล็ดพืชเล็กๆ ซึ่งเขาเอาไปเพาะลงดิน มันงอกขึ้นเป็นต้นใหญ่โต พวกนกพากันมาอาศัยทำรังตามกิ่งก้านสาขาของมัน”

เรื่องเชื้อขนม

         20 แล้วอีซากล่าวอีกว่า “เราจะเปรียบการปกครองของอัลลอฮฺนั้นเหมือนกับอะไรดี? 21 ก็เหมือนเชื้อขนมที่ผู้หญิงเขาเอาไปผสมกับแป้งสามถังจนแป้งทั้งหมดขึ้นฟู”

เรื่องประตูคับแคบ

         22 อีซาไปกรุงเยรูซาเล็ม แล้วแวะทุกตำบล ทุกหมู่บ้าน สั่งสอนประชาชน 23 มีชายคนหนึ่งถามท่านว่า “ท่านเจ้าข้า จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นหรือที่รอด?”

อีซาตอบว่า 24 “จงพยายามเข้าไปทางประตูแคบๆ นั้นให้ได้ ที่จริงมีหลายคนพยายามจะเข้าไป แต่เข้าไปไม่ได้ 25 เจ้าของบ้านจะลุกขึ้นปิดประตูเสีย แล้วเมื่อท่านทั้งหลายยืนเคาะประตูอยู่ข้างนอกตะโกนเรียกว่า ‘ช่วยเปิดประตูทีเถิด’ เขาจะตอบพวกท่านว่า ‘เราไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาจากไหน’ 26 แล้วเมื่อพวกท่านตอบว่า ‘พวกข้าพเจ้าเคยกินและดื่มกับท่าน ท่านเคยสอนในเมืองของข้าพเจ้า’ 27 เจ้าของบ้านจะตอบว่า ‘เราไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาจากไหน ไปให้พ้นเถิด เจ้าพวกคนชั่ว’ 28 พวกท่านจะต้องถูกไล่ให้อยู่ข้างนอกแล้วร้องไห้และขบกรามแน่นเมื่อเห็นนบีอิบรอฮีม นบีอิสหาก และนบียะอฺกูบกับบรรดานบีอยู่ในอาณาจักรของอัลลอฮฺ 29 จะมีคนมากมายมาจากเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก มานั่งร่วมโต๊ะในอาณาจักรของอัลลอฮฺ 30 แล้วผู้เล็กน้อยจะได้เป็นบุคคลสำคัญ และผู้ที่เป็นบุคคลสำคัญอยู่ในเวลานี้จะต้องกลับเป็นผู้เล็กน้อย”

อีซาคร่ำครวญเพราะกรุงเยรูซาเล็ม

         31 ในเวลาเดียวกันนี้เอง มีพวกฟาริสีบางคนมาเตือนอีซาว่า “ออกไปจากที่นี่ไปอยู่ที่อื่นเสียก่อนเถิด เพราะเฮโรดต้องการจะประหารท่าน” 32 อีซาตอบเขาว่า “ท่านจงไปบอกมนุษย์เจ้าเล่ห์คนนั้นเถิดว่า ‘เราไล่ชัยฏอนออกและรักษาคนเจ็บป่วยให้หายในวันนี้ พรุ่งนี้ และในวันที่สามเราจะทำการงานของเราให้เสร็จสิ้น’ 33 แต่เราจะต้องไปตามทางของเราในวันนี้ พรุ่งนี้ และวันต่อไป นบีผู้หนึ่งถูกฆ่าที่อื่นไม่ได้นอกจากในกรุงเยรูซาเล็ม

         34 “โอ กรุงเยรูซาเล็มนะกรุงเยรูซาเล็ม เมืองที่ฆ่าบรรดานบีและเอาหินขว้างพวกผู้ที่อัลลอฮฺทรงส่งมา มีหลายครั้งที่เราอยากจะเอาแขนโอบพลเมืองของเจ้าไว้ ดังแม่ไก่กกลูกไว้ใต้ปีก แต่เจ้าก็ไม่ยอมให้ทำ 35 บัดนี้ บ้านเมืองของเจ้าจะต้องถูกทอดทิ้งไว้ เราขอบอกเจ้าว่า เจ้าจะไม่ได้เห็นเราอีกจนกว่าเจ้าจะกล่าวว่า ‘ขอให้ท่านผู้มาในนามของพระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ’ ”

ลูกา 14

อีซารักษาคนเจ็บป่วย

         1 วันบริสุทธิ์วันหนึ่ง อีซาไปรับประทานอาหารที่บ้านของคนสำคัญผู้หนึ่งในพวก   ฟาริสี ประชาชนพากันมาเฝ้าดูท่านอย่างใกล้ชิด 2 มีชายคนหนึ่งแขนขาบวมมากมาหาอีซา 3 อีซาจึงถามธรรมาจารย์และพวกฟาริสีว่า “การรักษาคนเจ็บป่วยในวันบริสุทธิ์เป็นข้อห้ามหรือไม่?”

         4 พวกเขาไม่ตอบอะไร อีซาจึงพาชายคนนั้นมารักษา แล้วบอกให้กลับไปได้ 5 ท่านกล่าวกับพวกเขาว่า “ถ้าคนหนึ่งในพวกท่านมีลูกชายหรือวัวที่เผอิญพลัดตกบ่อในวันบริสุทธิ์ ท่านจะไม่ดึงขึ้นมาจากบ่อเสียทันทีหรือ?”  6 คนเหล่านั้นตอบข้อนี้ไม่ได้

ใจเอื้อเฟื้อและใจถ่อม

         7 อีซาสังเกตเห็นผู้ได้รับเชิญบางคนเลือกนั่งแต่ที่ดีๆ ท่านจึงกล่าวสอนเขาด้วยคำเปรียบว่า 8 “เมื่อเขาเชิญท่านไปในงานเลี้ยงสมรส อย่ามุ่งแต่จะนั่งที่ดีๆ เพราะเจ้าภาพอาจจะเชิญแขกสำคัญกว่าท่านมาก็ได้ 9 แล้วเจ้าภาพผู้เชิญท่านทั้งสองฝ่ายมานั้น จะมาพูดกับท่านว่า ‘ขอที่ตรงนี้ให้เขานั่งเถิด’ แล้วท่านจะขายหน้าเมื่อต้องย้ายไปนั่งที่ต่ำที่สุด 10 ฉะนั้น เมื่อท่านได้รับเชิญไปในงานเลี้ยง แทนที่จะนั่งที่สูง จงเลือกนั่งที่ต่ำที่สุด เพื่อว่าเจ้าภาพจะมาหาท่านแล้วเชิญว่า ‘ขอเชิญสหายไปนั่งที่ดีกว่านี้ เถิด’ นี่จะทำให้ท่านได้รับเกียรติต่อหน้าแขกเหรื่อทั้งปวง 11 เพราะทุกคนที่ยกตัวว่ายิ่งใหญ่จะถูกกดลง แต่คนที่ถ่อมตัวลงจะได้รับการยกขึ้น”

12 แล้วอีซากล่าวแก่เจ้าภาพว่า “เมื่อท่านจัดการเลี้ยงอาหาร อย่าเชิญมิตรสหายหรือญาติพี่น้อง หรือเพื่อนบ้านที่มั่งมี เพราะเขาจะเชิญท่านไปเลี้ยงตอบแทน 13 เมื่อจะเลี้ยงจงเชิญคนยากจนเข็ญใจ คนง่อยเปลี้ยเสียขา และคนตาบอด 14 แล้วท่านจะเป็นสุข เพราะคนเหล่านั้นไม่อาจจะตอบแทนท่านได้ อัลลอฮฺจะประทานบำเหน็จให้ท่าน เมื่อคนชอบธรรมทั้งหลายเป็นขึ้นมาจากตาย”

เรื่องงานเลี้ยงใหญ่

         15 มีคนหนึ่งที่นั่งอยู่ที่นั่นด้วยได้ยินเรื่องนี้ จึงบอกกับอีซาว่า “ผู้ที่ได้นั่งร่วมโต๊ะในอาณาจักรของอัลลอฮฺก็เป็นสุข”

         16 อีซาจึงกล่าวว่า “มีชายคนหนึ่งจัดให้มีงานเลี้ยงใหญ่ เชิญผู้คนมามากมาย 17 พอถึงเวลาเลี้ยง เขาก็ให้คนไปเชิญแขกอีกครั้งหนึ่งว่า ‘เชิญมาเถิด เราจัดทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว’ 18 แต่ทุกคนกลับออกตัวปฏิเสธไปต่างๆ นานา คนแรกบอกว่า ‘ข้าพเจ้าซื้อไร่นาไว้ ต้องไปดูไร่นานั้น ข้าพเจ้าขอตัวเถอะ 19 อีกคนหนึ่งแก้ตัวว่า ‘ข้าพเจ้าซื้อวัวไว้ห้าคู่ ต้องไปลองมันดู ข้าพเจ้าขอตัวเถอะ 20 อีกคนแก้ตัวว่า ‘ข้าพเจ้าพเพิ่งแต่งงานใหม่ ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงไปไม่ได้’ 21 คนรับใช้ก็กลับไปเล่าเรื่องทั้งหมดให้นายฟัง นายโกรธมากสั่งคนรับใช้ว่า ‘จงรีบเข้าไปในเมืองตามตรอกเล็กซอกน้อย เชิญพวกยากจนเข็ญใจ คนง่อย คนตาบอดมา’ 22 ในไม่ช้า คนรับใช้ก็กลับมารายงานว่า ‘ข้าพเจ้าทำตามคำสั่งท่านทุกอย่างแล้ว แต่ยังมีที่เหลืออยู่อีกมาก’ 23 นายจึงพูดกับคนรับใช้ว่า ‘ไปดูตามถนนใหญ่ เล็ก ตามชนบทซิ พบใครก็ให้พาเข้ามา จะได้มีคนเต็มบ้าน 24 เราบอกท่านทั้งหลายว่า พวกที่ได้รับเชิญพวกแรกนั้น จะไม่มีสักคนหนึ่งได้ลิ้มรสอาหารของเราเลย’ ”

ความเสียสละในการเป็นสาวก

         25 วันหนึ่ง ขณะคนหมู่ใหญ่กำลังเดินไปกับอีซา ท่านหันไปกล่าวแก่เขาว่า 26 “ใครก็ตามที่มาหาเรา จะเป็นสาวกของเราได้ก็ต่อเมื่อเขารักเรามากกว่าบิดามารดา บุตร ภรรยา พี่น้องชายหญิง หรือแม้แต่ชีวิตของตนเอง 27 ใครที่ไม่แบกกางเขนของตนตามเรามา ก็เป็นสาวกของเราไม่ได้ 28 ถ้าใครคนหนึ่งในพวกท่านคิดจะสร้างหอสูง เขาย่อมจะนั่งลงคำนวณดูว่าจะสิ้นเงินสักเท่าไร และดูว่าเขามีเงินพอสร้างไหม? 29 ถ้าเขาไม่ทำเช่นนี้ และยังขืนฝังรากฐานทั้งๆ ที่ไม่สามารถสร้างให้เสร็จ คนที่เห็นเข้าจะหัวเราะเยาะเอาได้ว่า 30 ‘คนนี้เริ่มก่อแต่ไม่มีปัญญาจะทำให้สำเร็จ’

         31 กษัตริย์องค์ใดทำสงครามกับกษัตริย์อีกองค์หนึ่ง จะไม่นั่งลงคิดคำนวณดูก่อนหรือว่า ทหารจำนวนเพียงหนึ่งหมื่นของตน จะเผชิญกับทหารสองหมื่นของอีกฝ่ายหนึ่งได้ไหม? 32 ถ้าสู้กันไม่ได้ พระองค์ก็จะส่งทูตไปเฝ้ากษัตริย์อีกฝ่ายหนึ่งเพื่อขอทำสัญญาสงบศึกในขณะที่ทัพของฝ่ายนั้นยังอยู่แต่ไกล”

33 อีซากล่าวสรุปว่า “นี่ก็เหมือนกัน ไม่มีใครจะเป็นสาวกของเราได้ นอกจากเขาจะยอมสละทุกอย่างที่มี

เกลือที่ไร้ประโยชน์

         34 “เกลือเป็นสิ่งดี แต่ถ้ามันสูญเสียความเค็มไป ก็ไม่มีทางที่จะทำให้มันกลับดีได้อีก 35 จะเอาไปทำปุ๋ยใส่ดินก็ไม่ได้ ต้องเอาไปเททิ้ง พวกท่านฟังไว้เถิด แล้วเก็บไปคิดดู”

ลูกา 15

แกะหาย

         1 ครั้งหนึ่ง พวกคนเก็บภาษีและคนบาปมาฟัง    อีซาสอน 2 พวกฟาริสีกับธรรมาจารย์จึงพากันบ่นติเตียนว่า “ชายคนนี้ต้อนรับพวกคนบาปทั้งยังกินร่วมกับคนพวกนั้นด้วย” 3 อีซาจึงกล่าวเป็นเรื่องเปรียบเทียบว่า

         4 “สมมุติว่าคนหนึ่งในพวกท่านมีแกะอยู่ร้อยตัว แล้วตัวหนึ่งหายไป เขาจะทำอย่างไร? เขาก็จะทิ้งแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้ในทุ่งหญ้า แล้วออกเที่ยวตามหาแกะที่หายไปจนพบ 5 เมื่อพบแล้ว เขาจะยกขึ้นใส่บ่าแบกมาด้วยความชื่นชมยินดี 6 เมื่อมาถึงบ้าน เขาก็เรียกมิตรสหายเพื่อนบ้านมาพร้อมหน้ากันแล้วว่า ‘มาร่วมยินดีด้วยกันเถิด เพราะข้าพเจ้าพบแกะตัวที่หายไปนั้นแล้ว’ 7 เช่นเดียวกัน เราขอบอกว่า ในสรวงสวรรค์จะยินดีปรีดาเรื่องคนบาปคนเดียวที่กลับใจใหม่มากกว่าเรื่องคนดีเก้าสิบเก้าคนที่ไม่ต้องกลับใจใหม่

เงินเหรียญหาย

         8 “หรือสมมุติว่า หญิงคนหนึ่งมีเหรียญเงินสิบเหรียญ แต่เผอิญหายไปเสียเหรียญหนึ่ง นางจะทำอย่างไรเล่า? นางจะจุดตะเกียงขึ้นส่องค้นหา แล้วจะกวาดบ้านเพื่อหาดูให้ทั่วทุกแห่งจนกว่าจะพบ 9 เมื่อพบแล้วนางจะเรียกทั้งมิตรสหายเพื่อนบ้านมาบอกอย่างดีอกดีใจว่า ‘ดีใจกับฉันด้วยซิ เพราะฉันพบเงินเหรียญที่หายไปนั้นแล้ว’ 10 ในทำนองเดียวกัน เราบอกท่านทั้งหลายว่า จะมีความชื่นชมยินดีท่ามกลางพวกมลาอิกะฮฺเรื่องคนบาปคนเดียวที่กลับใจใหม่”

ลูกที่หลงผิด

         11 อีซายังเล่าเรื่องให้เขาฟังอีกว่า “ยังมีชายคนหนึ่ง มีบุตรชายสองคน 12 บุตรคนเล็กมาหาพ่อรบเร้าว่า ‘คุณพ่อ แบ่งทรัพย์สมบัติส่วนของลูกให้ลูกด้วย’ บิดาจึงแบ่งทรัพย์สมบัติให้บุตรทั้งสองคน 13 ต่อจากนั้นไม่กี่วัน บุตรคนเล็กก็ขายสมบัติส่วนของเขาแล้วรวบรวมเงินออกจากบ้านไปเมืองไกล เขาผลาญทรัพย์สมบัติและใช้ชีวิตอย่างเหลวแหลก 14 จนหมดเนื้อหมดตัวแล้วก็เกิดกันดารอาหารทั่วเมืองนั้น เขาไม่มีเงินเหลือเลย 15 จึงไปรับจ้างทำงานอยู่กับชาวเมืองนั้น ซึ่งใช้เขาออกไปเลี้ยงหมูในทุ่ง 16 บุตรคนเล็กอยากจะกินฝักถั่วที่หมูกิน แต่ไม่มีใครยอมให้เขากิน 17 เมื่อเขาสำนึกตัวได้ จึงคิดรำพึงกับตัวเองว่า ‘ลูกจ้างของคุณพ่อแม้มีอยู่หลายคน ก็ยังมีอาหารเหลือกิน แต่ข้ากลับจะมาอดตาย 18 ข้าจะกลับไปหาคุณพ่อ บอกท่านว่า “ลูกผิดต่ออัลลอฮฺและผิดต่อคุณพ่อด้วย 19 ลูกไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของคุณพ่ออีกต่อไป ขอใช้ลูกเหมือนที่คุณพ่อใช้พวกลูกจ้างเถิด’ ” 20 แล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินทางกลับไปหาบิดาของเขา “ขณะที่ยังอยู่แต่ไกล บิดาของเขาเห็นเข้าก็สงสาร วิ่งเข้าไปกอดจูบบุตรชาย 21 ‘คุณพ่อ บุตรชายพูด ‘ลูกทำผิดต่ออัลลอฮฺและผิดต่อคุณพ่อด้วย ไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของคุณพ่ออีกต่อไป’ 22 แต่บิดากลับหันไปตะโกนเรียกพวกคนรับใช้ ‘เร็วเข้าเถอะ’ เขาว่า ‘จงรีบไปเอาเสื้อที่ดีที่สุดออกมาสวมให้เขา เอาแหวนมาสวมที่นิ้วมือ และเอารองเท้ามาสวมให้ด้วย 23 แล้วไปเลือกเอาลูกวัวอ้วนมาฆ่าเลี้ยงฉลองกัน 24 เพราะลูกของเราคนนี้เหมือนตายจากไปแล้ว แต่กลับมีชีวิตขึ้นมาอีก เขาหายไปแล้ว แต่เดี๋ยวนี้กลับได้พบกันอีก’ แล้วงานเลี้ยงฉลองก็ได้เริ่มขึ้น

         25 “ในระหว่างนั้น บุตรชายคนโตอยู่ในทุ่งนา กำลังเดินกลับบ้าน เมื่อใกล้จะถึงบ้านแล้ว เขาได้ยินเสียงเพลงและมองเห็นคนเต้นรำทำเพลงกัน 26 ก็เรียกคนรับใช้คนหนึ่งมาถามว่า ‘นั่นเขามีงานอะไรกันนะ’ 27 คนรับใช้ตอบว่า ‘น้องชายของท่านกลับมาบ้านแล้ว และนายให้ฆ่าลูกวัวอ้วนพี เพราะน้องชายของท่านกลับมาอย่างปลอดภัย’

         28 พี่ชายฟังแล้วก็โกรธมาก ไม่ยอมเข้าบ้านจนบิดาต้องออกมาอ้อนวอนให้เข้าไปในบ้าน 29 เขาตอบบิดาว่า ‘ดูเอาเถิดคุณพ่อ ลูกทำงานให้คุณพ่อเหมือนทาส ลูกไม่เคยขัดคำสั่งของคุณพ่อเลยแม้แต่ครั้งเดียว แล้วคุณพ่อเคยให้อะไรลูกหรือเปล่า? ไม่เคยให้แพะแม้สักตัวเดียวมาฆ่าเลี้ยงพวกเพื่อนๆ 30 แต่ลูกชายคนนั้นของคุณพ่อ ผลาญทรัพย์ทั้งหมดด้วยการคบหาพวกหญิงเสเพล และเมื่อกลับมาบ้าน คุณพ่อกลับฆ่าลูกวัวอ้วนพันธุ์ดีเลี้ยงฉลองเสียอีก’

         31 บิดาจึงตอบว่า ‘ลูกเอ๋ย ลูกอยู่กับพ่อที่บ้านตลอดเวลา ทุกสิ่งที่พ่อมีก็เป็นของลูกหมด 32 เราต้องฉลองและมีความสุขกัน เพราะน้องชายของลูกนั้นเหมือนตายแล้ว แต่กลับมีชีวิตอีก เหมือนคนที่สาบสูญไปแล้ว แต่กลับมาพบกันอีก’ ”

ลูกา 16

ผู้จัดการไม่ซื่อ

         1 อีซากล่าวสอนพวกสาวกว่า “เศรษฐีคนหนึ่งมีผู้จัดการดูแลผลประโยชน์ มีคนมาฟ้องเศรษฐีว่า “ผู้จัดการคนนั้นกำลังผลาญสมบัติของท่าน 2 เศรษฐีจึงเรียกผู้จัดการมากล่าวว่า ‘รู้ไหมว่าเราได้ยินเรื่องเจ้ามาอย่างไร? ไหน เอาบัญชีทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเรามาดูซิ เพราะเจ้าจะไม่ได้เป็นผู้จัดการของเราอีกต่อไปแล้ว’ 3 ผู้จัดการคนนั้นจึงคิดในใจว่า ‘นายของข้าจะไล่ข้าออกจากงานแล้ว ข้าจะทำอย่างไรดีหนอ? จะไปเป็นกรรมกรรับจ้างขุดคูหรือ ข้าก็ไม่แข็งแรง จะขอทานเขากินก็ขายหน้า 4 ข้ารู้แล้วว่าจะทำอย่างไรดี เพื่อเมื่อข้าตกงาน ข้าจะยังมีเพื่อนฝูงต้อนรับข้า’

         5 ดังนั้น ผู้จัดการจึงเรียกทุกคนที่เป็นลูกหนี้เศรษฐีมาหา เขาถามคนแรกว่า ‘ท่านเป็นหนี้นายของข้าพเจ้าอยู่เท่าไร?’ 6 ลูกหนี้ตอบว่า ‘เป็นหนี้น้ำมันมะกอกอยู่ร้อยถัง’ ผู้จัดการจึงพูดว่า ‘เอ้านี่บัญชีของท่าน นั่งลงซิ รีบแก้ให้เป็นห้าสิบถัง’ 7 แล้วเขาถามอีกคนหนึ่งว่า ‘แล้วท่านเล่าเป็นหนี้อยู่เท่าไร?’ ลูกหนี้อีกคนหนึ่งตอบว่า ‘ข้าวสาลีพันกระสอบ’ ผู้จัดการพูดว่า ‘แก้เป็นแปดร้อยกระสอบ’

         8 นายของผู้จัดการไม่ซื่อก็ชมเขาว่าทำไปอย่างฉลาด เพราะคนของโลกดุนยานี้ย่อมจัดการกับธุรกิจการงานฉลาดกว่าคนของความสว่างเสียอีก”

         9 แล้วอีซากล่าวสอนต่อไปว่า “เราขอบอกท่านว่า จงใช้ทรัพย์สมบัติในโลกดุนยานี้ผูกมิตรเพื่อตัวเอง เพื่อว่าเมื่อทรัพย์สมบัติหมดไปแล้ว ท่านจะได้รับการต้อนรับในที่อยู่อาศัยอันถาวรนั้น 10 ใครก็ตามที่ซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อยจะซื่อสัตย์ในเรื่องใหญ่ด้วย ผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย เขาก็จะไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องสำคัญด้วย 11 ถ้าท่านไม่ซื่อสัตย์แม้เมื่อดูแลทรัพย์สมบัติในโลกดุนยานี้แล้ว เขาจะวางใจให้ดูแลทรัพย์อันเที่ยงแท้นั้นได้อย่างไรเล่า? 12 และถ้าท่านไม่ซื่อสัตย์กับสมบัติของคนอื่น ใครจะมอบสิ่งที่เป็นของท่านเองให้แก่ท่าน?

         13 “ไม่มีคนรับใช้คนไหนจะรับใช้นายสองคนได้ เพราะเขาจะชังนายคนหนึ่งและรักนายอีกคนหนึ่งหรือเขาจะจงรักภักดีต่อคนนี้และดูหมิ่นคนนั้นท่านจะให้ทั้งอัลลอฮฺ และทรัพย์สมบัติเป็นนายท่านไม่ได้หรอก”

คำสอนของอีซา

         14 พวกฟาริสีได้ยินคำสอนทั้งหมดนี้ก็หัวเราะเยาะอีซา เพราะพวกเขารักเงิน 15 อีซาจึงกล่าวกับเขาว่า “พวกท่านเป็นคนที่ทำให้ใครๆ เห็นว่าตัวท่านดี แต่อัลลอฮฺทรงล่วงรู้จิตใจของพวกท่าน เพราะสิ่งที่มนุษย์คิดว่ามีค่ามาก อัลลอฮฺทรงเห็นว่าไร้ค่า

         16 “ธรรมบัญญัติของนบีมูซาและคำสอนของบรรดานบีมีผลอยู่จนถึงสมัยของนบียะหฺยา (ผู้ให้บัพติศมา) แต่หลังจากนั้นข่าวดีเรื่องการปกครองของอัลลอฮฺก็แผ่กระจายไป แล้วทุกคนก็แย่งกันเข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองนี้ 17 การที่ฟ้าดินหายลับไปต่อหน้าต่อตา ก็ยังง่ายกว่าการที่ข้อเล็กน้อยของธรรมบัญญัติในคัมภีร์เตารอฮฺเป็นโมฆะไป

         18 “ใครก็ตามที่หย่าภรรยาของตนแล้วไปแต่งงานกับหญิงอื่น ก็ผิดประเวณีและชายที่ไปแต่งงานกับหญิงที่หย่าแล้วนั้น ก็ผิดประเวณีด้วย

เศรษฐีกับลาซารัส

         19 “ครั้งหนึ่ง มีเศรษฐีคนหนึ่ง แต่งกายด้วยเสื้อผ้าราคาแพง และกินอยู่อย่างฟุ่มเฟือยทุกวัน 20 ยังมีชายยากจนคนหนึ่งชื่อลาซารัส เป็นแผลเต็มตัว มีผู้ช่วยพยุงเขามานั่งข้างประตูบ้านเศรษฐี 21 เพราะเขาหวังจะเก็บเศษอาหารที่ร่วงจากโต๊ะเศรษฐีมากิน แม้แต่สุนัขก็ยังมาเลียแผลตามตัวของเขา 22 ต่อมา ชายยากจนคนนี้ตายไป มลาอิกะฮฺมารับเขาไปอยู่เคียงข้างนบีอิบรอฮีมที่งานเลี้ยงในสรวงสวรรค์ แล้วต่อมาเศรษฐีก็ตายด้วยและถูกฝังไว้ 23 เขาต้องทนทุกข์เวทนาอยู่ในนรก  เมื่อเขาเงยหน้ามองไปก็เห็นนบี อิบรอฮีมอยู่แต่ไกล มีลาซารัสอยู่ข้างๆ 24 จึงตะโกนเรียกว่า ‘ท่านนบีอิบรอฮีม สงสารข้าพเจ้าเถิด กรุณาส่งลาซารัสให้มาเอานิ้วจุ่มน้ำเย็นแตะลิ้นข้าพเจ้าบ้าง เพราะข้าพเจ้าต้องถูกทรมานอยู่ในไฟนี้ลำบากเหลือทนแล้ว’

         25 “แต่นบีอิบรอฮีมกลับตอบว่า ‘จำได้ไหมลูกเอ๋ย เมื่อเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้ามีของกินของใช้ล้วนแต่ดีๆ ขณะที่ลาซารัสได้รับแต่สิ่งไม่ดี แต่เดี๋ยวนี้เขาปลาบปลื้มอยู่ในที่นี้ ขณะที่เจ้าต้องทนทุกข์เวทนา 26 นอกจากนี้ยังมีเหวลึกกั้นอยู่ระหว่างเราทั้งสอง จนไม่มีใครจะข้ามไปมาหากันได้’ 27 เศรษฐีวิงวอนว่า ‘ท่านนบีอิบรอฮีม ข้าพเจ้าขอร้อง ช่วยให้ลาซารัสไปบ้านพ่อของข้าพเจ้าทีเถิด 28 จะได้ตักเตือนพี่น้องของข้าพเจ้าอีกห้าคนที่ยังมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยพวกนั้นจะได้ไม่ต้องมาถูกทรมานที่นี่’

         29 “แต่นบีอิบรอฮีมกล่าวว่า ‘พวกเขามีนบีมูซากับบรรดานบีคอยเตือนอยู่แล้ว ให้เขาฟังคำเตือนของคนเหล่านั้นเถิด’ 30 เศรษฐีจึงตอบว่า ‘นั่นยังไม่พอท่านนบีอิบรอฮีม ต้องให้คนที่ฟื้นขึ้นจากความตายไปบอกเขา เขาจึงจะกลับใจใหม่’ 31 แต่ นบีอิบรอฮีมตอบว่า ‘ถ้าเขาไม่ยอมฟังนบีมูซากับนบีเหล่านั้น เขาก็จะไม่เชื่อคนที่ฟื้นขึ้นจากความตายเช่นกัน’ ”

ลูกา 17

บาป

         1 อีซากล่าวกับพวกสาวกว่า “สิ่งที่ทำให้มนุษย์กระทำบาปจะต้องเกิดขึ้นแน่ แต่คนที่ทำให้เกิดขึ้นนี่ซิ จะต้องประสบกับความน่ากลัวอันน่าสยดสยอง 2 มันจะเป็นการดีมากทีเดียวถ้าเขาจะถูกหินโม่ถ่วงคอโยนทิ้งลงทะเล ดีกว่าที่เขาจะทำให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้แม้แต่เพียงคนเดียวหลงทำบาป 3 จงระวังตัวให้ดีเถิด “ถ้าพี่น้องของท่านทำบาป จงตักเตือนเขา ถ้าเขากลับใจ จงยกโทษให้เขาเสีย 4 สมมุติว่าเขาทำผิดต่อท่านในวันหนึ่งถึงเจ็ดครั้ง และทุกครั้งก็มาหาวิงวอนขอโทษว่า ‘ฉันกลับใจแล้ว’ พวกท่านต้องยกโทษให้เขา”

ความศรัทธา

         5 พวกซอฮาบะฮฺจึงบอกกับอีซาผู้เป็นเจ้านายว่า  “ขอโปรดให้เรามีความศรัทธามากยิ่งๆ ขึ้นเถิด” 6 อีซาผู้เป็นเจ้านายชี้แจงแก่เขาว่า “ถ้าเจ้ามีความศรัทธาเพียงเท่าเมล็ดพืชเล็กๆ      เจ้าก็จะสามารถสั่งต้นหม่อนนี้ว่า  ‘ถอนรากลงไปปลูกอยู่ในทะเล’ และมันก็จะทำตามเจ้าสั่ง

หน้าที่ของคนรับใช้

         7 “สมมุติว่า คนหนึ่งในพวกท่านมีคนรับใช้ออกไปไถนาหรือเลี้ยงแกะก็ตาม เมื่อเขากลับจากทุ่งนา ท่านจะพูดกับเขาหรือว่า ‘เร็วเข้า ไปกิน ข้าวกินปลาเสียเถอะ’ 8 ท่านคงไม่ทำอย่างนั้นแน่ แต่ท่านจะพูดกับเขาว่า ‘ไปเตรียมอาหารให้เราเถอะ แล้วคอยรับใช้เราในขณะที่เรากินและดื่ม หลังจากนั้นเจ้าจึงค่อยกิน’ 9 คนรับใช้สมควรจะได้รับการขอบใจที่ตนเชื่อฟังคำสั่งหรือ?  10 พวกท่านก็เหมือนกัน เมื่อท่านทำตามที่สั่งทุกประการแล้ว จงกล่าวว่า ‘พวกเราเป็นคนรับใช้ธรรมดา พวกเราทำตามหน้าที่เท่านั้น’”

อีซารักษาคนโรคเรื้อน

         11 ขณะที่อีซาเดินทางไปกรุงเยรูซาเล็ม ท่านไปตามชายแดนที่อยู่ระหว่างแคว้นสะมาเรียกับแคว้นกาลิลี 12 เมื่อเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ก็พบกับคนโรคเรื้อนสิบคน คนเหล่านี้ยืนอยู่ห่างๆ 13 และตะโกนว่า “ท่านอาจารย์อีซา โปรดเมตตาพวกเราด้วยเถิด” 14 อีซาเห็น จึงบอกพวกเขาว่า “จงไปหาผู้ประกอบพิธีทางศาสนาให้พวกเขาตรวจดูเถิด” ขณะที่พวกเขาไปตามทางเขาก็หายโรค 15 คนหนึ่งในสิบคนนั้นเมื่อเห็นว่าตนหายดีแล้วก็กลับมา พลางสรรเสริญอัลลอฮฺด้วยเสียงดังลั่น 16 เขาซบหน้าลงแทบเท้าอีซาขอบคุณท่าน ชายผู้นี้เป็นชาวสะมาเรีย 17 อีซาจึงถามว่า “หายโรคทั้งสิบคนมิใช่หรือ? อีกเก้าคนไปไหนเล่า? 18ทำไมเขาไม่กลับมาสรรเสริญอัลลอฮฺ มีแต่คนต่างชาติคนนี้คนเดียวเท่านั้นหรือ?”     19 แล้วอีซากล่าวกับเขาว่า “ลุกขึ้นกลับไปเถิด ความศรัทธาของท่านทำให้ท่านหายดีแล้ว”

เวลาที่อัลลอฮฺจะทรงปกครอง

         20 มีพวกฟาริสีบางคนมาถามอีซาว่า การปกครองของอัลลอฮฺจะมาถึงเมื่อใด      ท่านตอบเขาว่า “การปกครองของอัลลอฮฺจะไม่มาด้วยสิ่งที่สังเกตเห็นได้ 21 ไม่มีใครพูดได้ว่า ‘ดูแน่ะ อยู่นี่เอง’ หรือ ‘อยู่ที่นั่นเอง’ เพราะการปกครองของอัลลอฮฺอยู่ท่ามกลางพวกท่านแล้ว”

         22 แล้วท่านกล่าวกับสาวกว่า “เวลานั้นจะมาถึงเมื่อพวกท่านปรารถนาจะเห็นวันของเราผู้เป็นบุตรมนุษย์ แต่ท่านจะไม่ได้เห็น 23 จะมีคนพูดว่า ‘ดูซิ อยู่โน่นแน่ะ’ หรือ ‘ดูแน่ะ อยู่นี่เอง’ แต่อย่าไปดูเลย 24 ฟ้าแลบแปลบปลาบเห็นกันไปทั่วอย่างไร บุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้นในวันที่ท่านมา 25 ก่อนหน้านั้นบุตรมนุษย์จะต้องได้รับความทรมานมาก ประชากรในสมัยนี้จะปฏิเสธท่าน 26 สมัยของนบีนูหฺประสบความหายนะอย่างไร วันที่เราผู้เป็นบุตรมนุษย์มาก็จะเป็นอย่างนั้น 27 ทุกคนมัวกินและดื่มกันเฮฮา ชายและหญิงแต่งงานกัน จนถึงวันนั้นที่นบีนูหฺเข้าไปในเรือ แล้วน้ำก็ท่วมและมนุษย์ก็ตายสิ้น 28 และจะเหมือนสมัยของนบีลูฏที่ทุกคนมัวแต่กินดื่ม ซื้อขาย เพาะปลูก และสร้างบ้านเรือน 29 วันที่นบีลูฏออกจากเมืองโสโดมนั้น ไฟกำมะถันก็ตกจากฟ้าเผาผลาญพวกเขาตายสิ้น 30 วันที่เราผู้เป็นบุตรมนุษย์มาปรากฏก็จะเป็นอย่างนั้น

         31 “ในวันนั้น อย่าให้คนที่อยู่บนดาดฟ้ากลับลงมาเก็บข้าวของในบ้านของเขา และอย่าให้คนที่อยู่ในทุ่งนากลับเข้าไปในบ้าน 32 จงนึกถึงสิ่งที่เกิดกับภรรยาของ นบีลูฏ 33 ใครก็ตามที่พยายามเอาชีวิตรอดจะเสียชีวิต แต่คนที่ยอมเสียชีวิตเขาจะรอด 34 เราขอบอกว่า คืนนั้นเอง สองคนที่นอนอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งจะถูกรับไปและอีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ 35 หญิงสองคนที่โม่แป้งอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งจะถูกรับไปและอีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ 36 ชายสองคนที่อยู่ในทุ่งนา คนหนึ่งจะถูกรับไปและอีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้”

         37 พวกสาวกถามอีซาว่า “ท่านเจ้าข้า จะเกิดขึ้นที่ไหน?” ท่านตอบว่า “ซากศพอยู่ที่ไหน ฝูงแร้งก็มาชุมนุมกันอยู่ที่นั่น”

ลูกา 18

เรื่องหญิงม่ายกับผู้พิพากษา

         1 อีซาใช้เรื่องเปรียบเทียบสอนเขาว่า เขาควรจะขอดุอาอ์อยู่เสมอโดยไม่ท้อแท้ใจ  2 “มีผู้พิพากษาในเมืองๆ หนึ่งเป็นคนไม่ยำเกรงอัลลอฮฺและไม่เกรงกลัวมนุษย์ 3 และมีหญิงม่ายคนหนึ่งที่อยู่ในเมืองเดียวกันนั้นมาหาเขาอยู่เรื่อยๆ อ้อนวอนว่า ‘กรุณาให้ความยุติธรรมแก่คดีของดิฉันด้วยเถิด’ 4 ผู้พิพากษาคนนั้นไม่ยอมทำให้อยู่ช้านานแต่ในที่สุดเขาก็พูดว่า ‘แม้ว่าตัวเราจะไม่เกรงกลัวอัลลอฮฺและไม่เกรงมนุษย์ 5 แต่หญิงม่ายผู้นี้มากวนใจเรามากเหลือเกิน เราจะให้นางได้รับความยุติธรรมเสียที มิฉะนั้นแล้วนางคงมาหาเราเรื่อยๆ จนเราเหนื่อยอ่อน’ ” 

         6 แล้วอีซาผู้เป็นเจ้านายกล่าวสอนเขาต่อไปว่า   “ฟังผู้พิพากษาใจคดคนนั้นพูดซิ ในทำนองเดียวกัน 7 อัลลอฮฺจะไม่ประทานความยุติธรรมแก่คนของพระองค์ที่คร่ำครวญอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืนหรือ? พระองค์จะไม่ทรงช่วยเขาทันทีหรือ? 8 เราขอบอกท่านว่า พระองค์จะประทานความยุติธรรมให้เขาอย่างฉับพลัน แต่เมื่อบุตรมนุษย์มาในโลกดุนยา ท่านจะพบคนที่มีความศรัทธามั่นหรือ?”

เรื่องฟาริสีและคนเก็บภาษี

         9 อีซาเล่าเรื่องเปรียบเทียบนี้ให้บางคนที่เชื่อมั่นในตนเองว่าเป็นคนดีและชอบดูหมิ่นผู้อื่น 10 ท่านพูดว่า “ยังมีชายสองคนไปขอดุอาอ์ในพระวิหาร คนหนึ่งเป็นฟาริสี อีกคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี 11 ฟาริสีคนนั้นลุกขึ้นยืนขอดุอาอ์อยู่ตามลำพังว่า ‘ข้าแต่อัลลอฮฺ บ่าวขอชุโกธต่อพระองค์ที่บ่าวไม่โลภ ไม่เป็นคนคด หรือผิดประเวณีหมือนคนอื่น และไม่เป็นเหมือนคนเก็บภาษีคนนั้น 12 บ่าวถือศีลอดอาหารสัปดาห์ละสองวัน และบริจาคหนึ่งในสิบจากรายได้ของบ่าวแด่พระองค์’  13 ส่วนคนเก็บภาษียืนอยู่แต่ไกล ไม่กล้าแม้กระทั่งเงยหน้าขึ้นดูฟ้า ได้แต่ทุบอกของตนร้องว่า ‘ข้าแต่อัลลอฮฺ โปรดเมตตาข้าพเจ้าผู้เป็นคนบาปด้วยเถิด’” 14 แล้วอีซากล่าวว่า “เราขอบอกว่า เมื่อเขากลับบ้านคนเก็บภาษีคนนี้แหละที่จะได้รับการยกโทษจากอัลลอฮฺ ไม่ใช่ฟาริสีคนนั้น เพราะทุกคนที่ยกตัวว่ายิ่งใหญ่จะถูกกดลง แต่คนที่ถ่อมตัวลงจะได้รับการยกขึ้น”

อีซาให้พรกับเด็กเล็กๆ

         15 มีบางคนพาบุตรของเขามาหาอีซาเพื่อให้พรแก่เด็กเหล่านั้น พอสาวกเห็นเข้าก็ว่ากล่าวพวกเขา 16 แต่อีซาเรียกเด็กๆ ให้เข้ามาหาท่าน กล่าวว่า “ปล่อยให้พวกเด็กๆ เข้ามาหาเถิด อย่าห้ามเขาเลย เพราะการปกครองของอัลลอฮฺย่อมเป็นของคนที่มีลักษณะเช่นนี้ 17 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ผู้ที่ไม่ยอมให้อัลลอฮฺทรงปกครองเหมือนเด็กเล็กๆ จะไม่มีวันได้เข้าไปอยู่

ภายใต้การปกครองนั้นเลย”

ชายที่เป็นเศรษฐี

         18 มีชาวยาฮูดีคนสำคัญคนหนึ่งถามอีซาว่า       “อาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าควรจะทำอย่างไรดีจึงจะได้รับชีวิตนิรันดร์?”

         19 อีซาถามเขาว่า “เหตุใดเรียกเราว่าผู้ประเสริฐเล่า? ไม่มีใครประเสริฐได้นอกจากอัลลอฮฺเท่านั้น 20 ท่านก็ทราบพระบัญญัติแล้วที่ว่า อย่าผิดประเวณี อย่าฆ่าคน อย่าขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ จงนับถือบิดามารดาของตน’ ”

         21 ชายนั้นตอบว่า “ข้าพเจ้าทำตามหมดทุกข้อตั้งแต่เป็นเด็กมาแล้ว”

         22 เมื่ออีซาฟังดังนั้นก็ชี้แจงแก่เขาว่า “ท่านยังขาดอยู่อีกประการหนึ่ง ไปขายทุกสิ่งที่ท่านมี เอาเงินไปช่วยพวกคนจน ท่านจะได้มีทรัพย์สมบัติในสรวงสวรรค์ แล้วตามเรามา” 23 เมื่อชายนั้นได้ยินดังนี้ เขาก็รู้สึกเป็นทุกข์ยิ่งนัก เพราะเขามั่งมีมาก

         24 อีซาเห็นว่าเขาเป็นทุกข์ จึงกล่าวว่า “ยากเหลือเกินที่คนมั่งมีจะเข้าไปอยู่ภายใต้การปกครองของ อัลลอฮฺ 25 ตัวอูฐลอดรูเข็มยังง่ายกว่าเศรษฐีเข้าอยู่ในการปกครองของอัลลอฮฺ”

         26 คนที่ได้ยินท่านกล่าวก็หันไปถามกันว่า “ถ้าเช่นนั้นใครเล่าจะรอดได้?”

         27 อีซาตอบว่า “สิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้นั้น อัลลอฮฺทรงทำได้”

         28 แล้วเปโตรก็พูดขึ้นว่า “นี่แน่ะ พวกเราทิ้งบ้านช่องของเราตามท่านมา”

         29 อีซาตอบว่า “เราขอบอกความจริงแก่ท่านว่า คนที่สละบ้าน หรือภรรยา หรือพี่ น้อง หรือบิดามารดา หรือบุตร เพื่อเห็นแก่การปกครองของอัลลอฮฺ 30 ในโลกนี้เขาจะได้รับยิ่งกว่านั้นมากนัก และในโลกหน้าเขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์ด้วย”

อีซากล่าวถึงความตายของท่านเป็นครั้งที่สาม

         31 อีซาพาสาวกสิบสองคนปลีกตัวออกไปจากประชาชน แล้วกล่าวแก่เขาว่า “ฟังให้ดีนะ เรากำลังจะไปกรุงเยรูซาเล็มกัน ทุกสิ่งที่บรรดานบีเขียนไว้ถึงบุตรมนุษย์จะเป็นจริง 32 ท่านจะถูกส่งตัวไปให้คนต่างชาติ พวกเขาจะเยาะเย้ยดูหมิ่นเหยียดหยาม และถ่มน้ำลายรดท่าน 33 เขาจะเฆี่ยนและฆ่าท่านเสีย แต่ในวันที่สามบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นมาอีก”

         34 แต่พวกสาวกไม่เข้าใจเรื่องที่กล่าวนี้ เพราะความหมายถูกซ่อนไว้ พวกเขาจึงไม่รู้ว่าอีซากำลังกล่าวถึงเรื่องอะไร

อีซารักษาขอทานตาบอด

         35 ขณะที่อีซามาใกล้เมืองเยรีโค มีขอทานตาบอดคนหนึ่งกำลังนั่งขอทานอยู่ข้างถนน 36 เมื่อได้ยินเสียงคนมากมายผ่านมาเขาก็ถามว่า “นั่นเสียงอะไร กัน?”

         37 “อีซาชาวนาซาเร็ธกำลังผ่านมา” คนทั้งหลายบอก

         38 เขาจึงตะโกนขึ้นว่า “อีซาบุตรนบีดาวูด เมตตาข้าพเจ้าด้วยเถิด”

         39 คนที่อยู่ข้างหน้าเขาก็ดุให้นิ่ง แต่เขาก็ยิ่งตะโกนเสียงดังว่า “บุตรนบีดาวูด โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด”

         40 อีซาได้ยินเช่นนั้นก็หยุดยืน แล้วสั่งให้พาคนตาบอดมาหาท่าน เมื่อเข้ามาใกล้อีซาถามเขาว่า      41 “อยากจะให้เราทำอะไรให้เล่า?”

         “ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าอยากมองเห็นได้” เขาตอบ

         42 แล้วอีซาสั่งว่า “จงเห็นเถิด ความศรัทธาของท่านทำให้ตาท่านเห็นได้แล้ว”

         43 ทันใดนั้น ตาของเขาก็มองเห็น แล้วเขาก็ตามอีซาไป ปากก็พร่ำขอชุโกธต่อ อัลลอฮฺ เมื่อคนทั้งหลายเห็นดังนี้ ทุกคนต่างสรรเสริญอัลลอฮฺ

ลูกา 19

อีซากับศักเคียส

         1 อีซาเข้าเมืองเยรีโคและกำลังจะผ่านเมืองนั้นไป 2 มีหัวหน้านายด่านภาษีคนหนึ่งชื่อศักเคียส เป็นคนมั่งมีมากอยู่ที่นั่น 3 เขาอยากจะดูให้เห็นว่าอีซาเป็นใคร แต่เขาเป็นคนร่างเล็ก ดูเท่าไรก็ไม่เห็น เพราะมีคนบัง   อีซาอยู่แน่น 4 จึงวิ่งขึ้นหน้าคนหมู่นั้นไป ปีนขึ้นต้นมะเดื่อเพื่อดูให้เห็นอีซาซึ่งกำลังจะไปทางนั้น 5 เมื่ออีซามาถึงที่นั่น ท่านแหงนหน้าขึ้นดู และกล่าวกับศักเคียสว่า “รีบลงมาเถิดศักเคียส เพราะเราจะต้องไปพักที่บ้านท่านในวันนี้” 6 ศักเคียสรีบลงมารับรองท่านด้วยความปลื้มปีติยินดียิ่งนัก 7 ทุกคนที่เห็นพากันตำหนิว่า “ทำไมนะ ชายคนนี้จะไปเป็นแขกในบ้านของคนบาป”

         8     ศักเคียสลุกขึ้นบอกกับอีซาผู้เป็นเจ้านายว่า “ท่านเจ้าข้า ฟังข้าพเจ้าก่อนเถิด ข้าพเจ้าจะยกทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งให้คนยากจน และถ้าข้าพเจ้าโกงอะไรของใครมา ข้าพเจ้าจะคืนให้เขาถึงสี่เท่า”

         9 อีซากล่าวกับเขาว่า “วันนี้อัลลอฮฺประทานความรอดให้แก่บ้านนี้แล้ว ชายผู้นี้เป็นลูกหลานของนบีอิบรอฮีมด้วย 10 เพราะเราผู้เป็นบุตรมนุษย์มาหาเพื่อจะช่วยคนที่หลงหายไปนั้นให้รอด”

เรื่องเหรียญทองคำ

         11 เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินเหตุการณ์นั้น อีซาก็เล่าเรื่องเปรียบเทียบให้เขาฟังต่อไป เพราะท่านใกล้จะถึงกรุงเยรูซาเล็มแล้ว และเพราะพวกคนฟังคิดว่าเกือบจะถึงเวลาแล้วที่การปกครองของอัลลอฮฺจะปรากฏโดยพลัน 12 ท่านเล่าว่า “มีเจ้านายคนหนึ่งเดินทางไปเมืองไกลเพื่อรับการแต่งตั้งจากองค์จักรพรรดิให้กลับมาครองเมืองของตน 13 ก่อนจากไปเขาเรียกคนรับใช้สิบคนของเขามา มอบเงินให้คนละเหรียญทอง สั่งว่า ‘จงเอาไปค้าขายจนกว่าเราจะกลับมา’ 14 แต่ชาวเมืองเกลียดชังท่านผู้นั้น จึงให้พวกผู้สื่อสารตามหลังไปเพื่อทูลว่า ‘เราไม่ต้องการให้ท่านผู้นี้มาปกครอง’

         15 “ต่อมาเจ้านายคนนั้นได้รับแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์กลับมาครองเมือง ทันทีที่กลับมาถึง พระองค์เรียกตัวคนรับใช้ที่พระองค์มอบเงินให้นั้นมาพบ เพื่อดูว่าจะหาเงินได้สักเท่าไร   16 ชายคนแรกมารายงานว่า ‘เงินหนึ่งเหรียญทองของพระองค์นั้น ข้าพระ องค์ค้าขายทำกำไรจนได้เป็นสิบเหรียญ’ 17 ‘เออ ดีจริง’ พระองค์ตรัส ‘เจ้าเป็นคนดีซื่อสัตย์แม้ในเรื่องเล็กน้อย เราจะให้เจ้าดูแลหัวเมืองสิบเมือง’ 18 คนที่สองมารายงานว่า ‘เงินเหรียญเดียวที่พระองค์ให้ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ค้าขายทำกำไรจนได้มาเป็นห้าเหรียญ’ 19 กษัตริย์ก็บอกคนรับใช้คนนี้ว่า ‘เจ้าด้วย ไปดูแลหัวเมืองห้าเมือง’

         20 คนรับใช้อีกคนหนึ่งมาหารายงานว่า ‘นี่อย่างไรพระเจ้าข้า เหรียญทองของพระองค์ ข้าพระองค์เอาห่อผ้าเช็ดหน้าเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิด 21 ข้าพระองค์เกรงกลัวพระองค์มาก เพราะพระองค์เป็นคนไร้น้ำใจ ทั้งยังชอบเอาสิ่งที่ไม่ใช่ของพระองค์ และเกี่ยวเก็บผลซึ่งพระองค์ไม่ได้ลงแรงไว้’ 22 กษัตริย์ตรัสว่า ‘เจ้าเลวมาก เราจะลงโทษเจ้าตามถ้อยคำของเจ้า เจ้ารู้ว่าเราเป็นคนไร้น้ำใจ ทั้งยังชอบเอาสิ่งที่ไม่ใช่ของเรา และเกี่ยวเก็บผลซึ่งเราไม่ได้ลงแรงไว้ 23 ถ้าเช่นนั้นทำไมเจ้าไม่เอาเงินไปฝากธนาคารไว้? เราจะได้เงินของเราคืนมาพร้อมทั้งเงินปันผลด้วยเมื่อเรากลับมา’

         24 “แล้วพระองค์ตรัสสั่งคนที่อยู่ใกล้ๆ ว่า ‘จงริบเหรียญทองนั้นเอาไปให้คนที่มีสิบเหรียญ’ 25 แต่คนเหล่านั้นกล่าวว่า ‘พระองค์เจ้าข้า เขามีอยู่ถึงสิบเหรียญแล้ว’ 26 กษัตริย์ตรัสตอบว่า ‘เราขอบอกเจ้าว่า ทุกคนที่มีแล้วจะยิ่งได้รับมากขึ้นอีก แต่ส่วนคนที่ไม่มีซิ แม้ว่าที่เขามีอยู่เพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็จะต้องถูกริบเอาไป 27 ส่วนพวกศัตรูของเราที่ไม่ต้องการให้เราเป็นกษัตริย์นั้นอยู่ที่ไหน ไปเอาตัวมาที่นี่ จะได้จับประหารเสียต่อหน้าเรา’ ”

อีซาเข้าใกล้กรุงเยรูซาเล็ม

         28 อีซากล่าวดังนี้แล้วก็เดินนำหน้าพวกเขาไปกรุงเยรูซาเล็ม 29 ขณะที่มาใกล้หมู่บ้านเบธฟายีและ  เบธานี ณ ภูเขามะกอกเทศ ท่านใช้สาวกสองคนให้ล่วงหน้าไปก่อน 30 พร้อมทั้งสั่งว่า “ไปที่หมู่บ้านข้างหน้านี้ แล้วจะพบลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่ ยังไม่เคยมีใครขี่เลย จงแก้ออกแล้วจูงมาที่นี่ 31 ถ้ามีใครถามท่านว่า ‘แก้มันออกทำไม?’ ก็จงบอกเขาว่า ‘ท่านผู้เป็นเจ้านายต้องการมัน’

         32 สาวกสองคนไปพบทุกสิ่งดังที่อีซากล่าวไว้ 33 ขณะที่เขากำลังแก้ลูกลาเจ้าของก็มาถามเขาว่า “แก้มันออกทำไม?”

         34 “ท่านผู้เป็นเจ้านายต้องการมัน” สาวกตอบ 35 แล้วจูงลานั้นมาให้อีซา เขาเอาเสื้อคลุมปูหลังลา แล้วเชิญ  อีซานั่งบนหลังลานั้น 36 ขณะที่อีซาขี่ลาไป ผู้คนต่างพากันปูเสื้อไว้บนพื้นถนนที่เป็นทางผ่าน 37 เมื่อท่านมาใกล้กรุงเยรูซาเล็มถึงถนนที่เป็นทางลงจากภูเขามะกอกเทศ สาวกของท่านหมู่ใหญ่ก็ชื่นชมยินดีและสรรเสริญอัลลอฮฺด้วยเสียงอันดังเพราะการอัศจรรย์ทั้งหมดที่เขาได้เห็นนั้น 38 “ขอให้กษัตริย์ผู้ทรงมาในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ สันติสุขจงมีในสรวงสวรรค์และพระเกียรติจงมีแด่อัลลอฮฺ”

         39 พวกฟาริสีบางคนในหมู่ประชาชนนั้นพูดว่า “อาจารย์ ช่วยสั่งห้ามพวกศิษย์ของท่าน”

         40 อีซาตอบว่า “แม้คนพวกนี้เงียบ แต่ก้อนหินก้อนดินทั้งหลายก็จะพากันเปล่งเสียงโห่ร้อง”

อีซาคร่ำครวญเพื่อกรุงเยรูซาเล็ม

         41 ท่านมาใกล้เมือง และเมื่อมองเห็นตัวเมืองก็ร้องไห้ 42 พลางกล่าวว่า “เราปรารถนาจะให้เจ้ารู้วิธีที่จะได้สันติสุขมาเหลือเกิน แต่เดี๋ยวนี้เจ้าก็ยังไม่รู้ 43 เพราะวันที่ข้าศึกล้อมเจ้าไว้ทุกด้านจะมาถึง 44 เขาจะบดขยี้เจ้าและผู้คนที่อยู่ในกำแพงของเจ้าให้แหลกลาญ แม้แต่ก้อนหินจะไม่ซ้อนอยู่ในที่ของมันแม้สักก้อนเดียว เพราะเจ้าไม่ตระหนักถึงเวลาที่อัลลอฮฺทรงโปรดปรานเจ้านั้นเลย”

อีซาเข้าไปพระวิหาร

         45 อีซาเข้าไปในบริเวณพระวิหารขับไล่พวกพ่อค้าที่ซื้อขายกันอยู่ให้ออกไป        46 พลางกล่าวว่า “ในอัลกิตาบมีเขียนไว้ว่า ‘อาคารนี้เราให้เป็นสถานที่สำหรับขอดุอาอ์’ แต่พวกเจ้ากลับมาทำให้เป็นซ่องโจร”

         47 อีซากล่าวสอนในพระวิหารทุกวัน พวกผู้นำทางศาสนาและธรรมาจารย์กับหัวหน้าประชาชนอยากจะฆ่าท่าน 48 แต่ยังไม่พบช่องทางทำอะไรได้ เพราะว่าประชาชนทุกคนชอบฟังพระองค์มาก

ลูกา 20

มีผู้ถามถึงอำนาจของอีซา

         1 วันหนึ่งเมื่ออีซากล่าวสอนประชาชนอยู่ในพระวิหารและประกาศข่าวดี พวกผู้นำทางศาสนา พวก   ธรรมาจารย์กับพวกผู้ใหญ่ของชาวยาฮูดีมา 2 ซักถามท่านว่า   “ไหนบอกเรามาซิว่า ท่านมีสิทธิอะไรจึงทำการเหล่านี้ได้? ใครให้สิทธิแก่ท่าน?”

         3 อีซาถามเขาว่า “บอกเรามาก่อนซิว่า 4 สิทธิของยะหฺยาในการให้บัพติศมานั้นมาจากอัลลอฮฺหรือจากมนุษย์?”

         5 คนเหล่านั้นหันไปเถียงกันในหมู่พวกเขาว่า     “เราจะตอบว่าอย่างไรดีเล่า? ถ้าเราว่า  ‘มาจากอัลลอฮฺ’ เขาก็จะว่า ‘ก็แล้วทำไมไม่ศรัทธายะหฺยาเล่า?’ 6 แต่ถ้าเราว่า ‘มาจากมนุษย์’ ประชาชนในที่นี้ก็จะโกรธเอาหินขว้างเรา เพราะเขายืนยันว่า ยะหฺยาเป็นนบี” 7 เขาจึงตอบว่า “เราไม่รู้ว่ามาจากไหนนี่”

         8 แล้วอีซากล่าวแก่พวกเขาว่า “เราก็จะไม่บอกท่านเหมือนกันว่าเราทำสิ่งเหล่านี้โดยใช้สิทธิอะไร”

เรื่องผู้เช่าสวนองุ่น

         9 แล้วอีซาเล่าเรื่องเปรียบเทียบนี้ให้ประชาชนฟังว่า “มีชายคนหนึ่งทำสวนองุ่นแล้วให้คนอื่นเช่า หลัง จากนั้นเขาก็ต้องเดินทางไปเมืองอื่นเป็นเวลาช้านาน 10 เมื่อถึงหน้าเก็บผลองุ่น เขาก็ให้คนรับใช้มาหาคนเช่าสวนเพื่อรับส่วนแบ่งจากผลที่เก็บได้ แต่คนเช่าสวนกลับตีคนรับใช้นั้นแล้วไล่กลับไปมือเปล่า

         11 เจ้าของสวนให้คนรับใช้อีกคนหนึ่งมา แต่คนเช่าสวนก็ทุบตีเขาด้วย ทำให้เขาได้รับความอับอายต่างๆ นานา แล้วไล่กลับไปมือเปล่าอีก 12 เจ้าของสวนให้คนรับใช้คนที่สามมา คนเช่าสวนก็ทำร้ายเขาจนบาดเจ็บสาหัส แล้วโยนเขาออกไปนอกสวน 13 เจ้าของสวนทราบเรื่องเข้าก็รำพึงว่า ‘ข้าจะทำอย่างไรดี? ข้าจะส่งลูกรักของข้าไป พวกเขาจะต้องเคารพยำเกรงลูกข้าเป็นแน่’ 14 แต่เมื่อคนเช่าสวนเห็นเข้าก็ปรึกษากันว่า ‘นี่เป็นทายาทเจ้าของสวน ให้เราฆ่าเขาเสียเถอะ แล้วสวนองุ่นนี้จะตกเป็นของเรา’ 15 พวกเขาก็ผลักลูกชายเจ้าของสวนนั้นออกไปนอกสวนแล้วฆ่าเสีย”

         อีซาถามว่า “เจ้าของสวนจะทำอย่างไรกับคนเช่าสวนรู้ไหม? 16 เขาจะมาฆ่า

พวกนั้นเสียแล้วยึดเอาสวนคืนไปให้คนอื่นเช่า”

         เมื่อประชาชนได้ยินเข้าต่างก็พูดกันว่า “อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย” 17 อีซาจ้องดูหน้าเขาแล้วถามว่า      “พวกท่านรู้ความหมายของอัลกิตาบข้อนี้หรือไม่? ‘หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งแล้วโดยคิดว่าไม่มีประโยชน์ เขายังเอามาทำเป็นหินที่สำคัญที่สุดได้’     18 คนหกล้มถูกหินนั้นจะต้องเนื้อตัวแตก ถ้าหินนั้นตกทับผู้ใด ผู้นั้นจะแหลกละเอียดไป”

มีผู้ถามถึงเรื่องการเสียภาษี

         19 ธรรมาจารย์กับพวกผู้นำทางศาสนาพยายามหาเรื่องจับกุมอีซาในเวลานั้น เพราะเขารู้ตัวว่าอีซากล่าวเปรียบเปรยกระทบเขา แต่ก็ยังเกรงพวกประชาชนอยู่ 20 เขาจึงคอยหาโอกาสเหมาะๆ และส่งสายสืบซึ่งแสร้งทำเป็นคนศรัทธามา แล้วให้คนเหล่านี้มาลวงถามท่าน เพื่อเขาจะได้จับท่านส่งให้เจ้าเมืองของรัฐบาลโรมตัดสิน        21 สายสืบนั้นมาซักถามท่านว่า “อาจารย์ เราทราบดีว่า ที่ท่านพูดและสอนนี้ถูกต้องทั้งสิ้น และไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด ท่านมุ่งแต่จะสอนทางของอัลลอฮฺจริงๆ 22 โปรดบอกเราหน่อยเถิดว่า การเสียภาษีให้องค์จักรพรรดินั้นเป็นข้อห้ามหรือไม่?”

         23 แต่อีซารู้ทันอุบายของเขา ก็กล่าวว่า 24 “เอาเหรียญเงินมาให้เราดูซิ มีรูปใคร เขาจำรึกชื่อใครไว้บนนั้น?”

         “รูปองค์จักรพรรดิ” คนเหล่านั้นตอบ

         25 แล้วอีซากล่าวว่า “เมื่อเป็นขององค์จักรพรรดิ จงถวายจักรพรรดิไป และอะไรที่เป็นของอัลลอฮฺ จงถวายแด่อัลลอฮฺ”

         26 คนเหล่านั้นก็จับผิดท่านต่อหน้าประชาชนไม่ได้ ได้แต่นิ่งอั้นไป และรู้สึกประหลาดใจในคำตอบของท่าน

มีผู้ถามถึงการฟื้นขึ้นจากความตาย

         27 มีพวกสะดูสีบางคนมาหาอีซา พวกนี้ไม่เชื่อว่ามนุษย์จะฟื้นขึ้นจากความตาย คนเหล่านี้ถามท่านว่า 28 “อาจารย์ นบีมูซาเขียนบทบัญญัติไว้ให้พวกเราว่า ‘ถ้าชายใดเสียชีวิตลงทิ้งภรรยาไว้เป็นม่ายโดยไม่มีบุตรเลย น้องชายของผู้ตายนั้นจะต้องรับหญิงม่ายนั้นมาเป็นภรรยา เพื่อจะได้มีบุตรสืบสกุล’ 29 ครั้งหนึ่ง มีพี่น้องอยู่เจ็ดคน พี่ชายคนโตแต่งงานแล้วตายไปโดยไม่มีบุตร 30 แล้วน้องชายคนรองก็แต่งงานกับหญิงนั้น 31 ต่อมาคนที่สามก็แต่งงานกับหญิงนั้น ทุกคนทำเช่นเดียวกันหมดทั้งเจ็ดคน และทุกคนก็ตายไปโดยไม่มีบุตรเลย 32 ผลสุดท้ายหญิงนั้นก็ตายไปด้วย 33 ทีนี้เมื่อถึงวันที่พวกคนฟื้นขึ้นจากความตาย หญิงนี้จะเป็นภรรยาของชายคนไหน? เพราะทั้งเจ็ดคนก็ได้แต่งงานกับนาง”

         34 อีซาตอบเขาว่า “ชายหญิงในโลกดุนยานี้แต่งงานกัน 35 แต่ชายหญิงที่มีโอกาสฟื้นขึ้นจากความตาย และได้ไปอยู่ในโลกหน้านั้นจะไม่มีการแต่งงานกัน 36 เขาจะไม่ตายอีกต่อไปเหมือนมลาอิกะฮฺ เขาจะเป็นของอัลลอฮฺ เพราะอัลลอฮฺทรงทำให้เขาฟื้นขึ้นจากความตาย 37 นบีมูซาได้พิสูจน์ให้เห็นชัดแล้วว่า คนตายจะฟื้นขึ้นมามีชีวิตอีก ในข้อความที่กล่าวถึงพุ่มไม้ที่มีไฟลุกโพลงนั้น ท่านก็ได้กล่าวถึงอัลลอฮฺว่า เป็น ‘พระ เจ้าของนบีอิบรอฮีม ของนบีอิสหาก และของนบียะอฺกูบ’ 38 นี่หมาย ความว่าพระองค์เป็นพระเจ้าของคนเป็น ไม่ใช่พระเจ้าของคนตาย เพราะในสายพระเนตรของอัลลอฮฺแล้วทุกคนยังมีชีวิตอยู่” 39 ธรรมาจารย์บางคนกล่าวว่า “อาจารย์ตอบดีจริงๆ” 40 แล้วเขาไม่กล้าถามอะไรอีซาอีก

มีผู้ถามถึงอัลมะซีฮฺ

         41 อีซาถามเขาว่า “จะพูดได้อย่างไรกันว่า อัล-มะซีฮฺเป็นเชื้อสายของดาวูด 42 ในเมื่อดาวูดเองก็กล่าวไว้ในคัมภีร์ซะบูรฺว่า ‘พระ ผู้เป็นเจ้าตรัสกับท่านผู้เป็นเจ้านายของข้าพเจ้าว่า จงนั่งที่นี่ ที่ข้างขวาของเรา 43 จนกว่าเราจะปราบศัตรูของท่านลงแทบเท้าท่าน’ 44 ถ้าดาวูดยังเรียกอัล-มะซีฮฺว่าผู้เป็นเจ้านายแล้ว อัล-มะซีฮฺจะเป็นเพียงเชื้อสายของนบีดาวูดได้อย่างไรกัน?”

อีซาเตือนให้ระวังธรรมาจารย์

         45 เมื่อคนหมู่ใหญ่กำลังฟังอีซาอยู่ ท่านจึงสอนสาวกของท่านว่า 46 “คอยระวังธรรมาจารย์ให้ดี เขาชอบสวมเสื้อคลุมยาวเดินไปมาให้ใครๆ มองเขาชอบให้คนเคารพเขาตามตลาด เมื่อเข้าไปในธรรมศาลาหรือในงานเลี้ยงก็เลือกนั่งที่ดีๆ ที่เขาจัดไว้เป็นพิเศษ 47 เขาชอบเอาเปรียบพวกหญิงม่าย ริบเอาบ้านเรือนข้าวของของพวกหญิงม่าย แล้วทำเป็นขอดุอาอ์นานๆ อวดให้ใครๆ เห็น ธรรมาจารย์เหล่านี้จะต้องถูกลงโทษหนักทีเดียว”

ลูกา 21

เงินบริจาคของหญิงม่าย

         1 อีซาเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นพวกเศรษฐีนำเงินมาใส่ไว้ตู้บริจาคในพระวิหาร 2 แล้วท่านเห็นหญิงม่ายคนหนึ่งยากจนมาก หย่อนเงินเหรียญทองแดงสองเหรียญลงไป 3 ท่านกล่าวว่า “เราขอบอกว่า หญิงม่ายคนนี้ให้มากกว่าใครๆ 4 เพราะคนอื่นเอาเงินเหลือกินเหลือใช้มาบริจาค แม้หญิงนี้ยากจนก็จริง แต่ได้เอาเงินเลี้ยงชีวิตทั้งหมดที่นางมีมาใส่”

อีซากล่าวถึงความพินาศของพระวิหาร

         5 มีบางคนพูดชมว่า พระวิหารนั้นสวยงามนัก มีหินแกะสลักอย่างงดงามและมีของมอบแด่อัลลอฮฺตั้งอยู่ อีซากล่าวว่า 6 “ทั้งหมดที่พวกท่านเห็นนี้แหละ เมื่อวันเวลานั้นมาถึง จะไม่มีหินเหลือซ้อนกันอยู่ในที่นี้แม้สักก้อนเดียว”

ความทุกข์ยากและการข่มเหง

         7 พวกเขาพากันถามว่า “อาจารย์ เมื่อไรจะถึงเวลานั้น และจะมีอะไรเป็นเครื่องหมายบอกให้รู้ว่าเวลานั้นมาถึงแล้ว?”

         8 อีซาตอบเขาว่า “คอยระวังให้ดี อย่าหูเบา เพราะจะมีหลายคนมาใช้นามเราโดยอ้างว่า ‘เราเป็นท่านผู้นั้น’ และว่า ‘เวลาที่กำหนดนั้นมาถึงแล้ว’ อย่าตามเขาไป 9 อย่ากลัวด้วยเมื่อท่านได้ยินเรื่องสงครามและเรื่องจลาจลวุ่นวายต่างๆ เหตุการณ์เหล่านั้นจะต้องเกิดขึ้นก่อน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าใกล้ยุคสุดท้ายแล้ว”

         10 อีซากล่าวต่อไปว่า “ประเทศหนึ่งจะรบพุ่งกับอีกประเทศหนึ่ง อาณาจักรหนึ่งจะจู่โจมเข้าทำร้ายอีกอาณาจักรหนึ่ง 11 จะเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงเกิดการกันดารอาหารและเกิดโรคร้ายระบาดอยู่ทุกหนทุกแห่ง จะมีสิ่งน่าสะพรึงกลัวและมีหมายสำคัญให้เห็นในท้องฟ้า 12 ก่อนหน้าที่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น พวกท่านจะถูกจับกุมตัวและถูกข่มเหง จะถูกส่งตัวไปให้เขาไต่สวนในธรรมศาลาและจะถูกขังคุก พวกท่านจะถูกนำตัวไปอยู่ต่อพระพักตร์กษัตริย์และต่อหน้าเจ้าเมือง เพราะเห็นแก่เรา 13 นี่จะเป็นโอกาสให้พวกท่านเป็นพยานถึงเรื่องข่าวดี 14 จงตั้งใจแน่วแน่ไว้ก่อน อย่าเป็นกังวลว่าจะแก้อย่างไรดี 15 เพราะเราจะให้คำพูดและสติปัญญาแก่พวกท่าน ซึ่งพวกศัตรูไม่สามารถจะต่อต้านหรือคัดค้าน         16 พ่อแม่ญาติพี่น้องและมิตรสหายจะเป็นคนมอบตัวพวกท่าน พวกท่านบางคนจะถูกประหารชีวิต 17 และทุกคนจะเกลียดชังท่านเพราะเรา 18 แต่ท่านจะไม่เป็นอันตรายแม้แต่เส้นผมเส้นเดียว 19 เจ้าจงอดทนเถิดเพราะนี่เป็นทางที่ท่านจะรอดชีวิต

อีซากล่าวถึงความพินาศของกรุงเยรูซาเล็ม

         20 “เมื่อพวกท่านเห็นกรุงเยรูซาเล็มถูกข้าศึกล้อม ก็ต้องรู้ว่าไม่ช้ากรุงจะต้องแตก 21 แล้วผู้ที่อยู่ในเขตยูเดียจะต้องหลบหนีออกไปอยู่ตามภูเขา คนที่อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มต้องทิ้งเมืองไป คนที่อยู่นอกเมืองแล้วไม่ต้องเข้ามาในเมือง 22 เพราะนี่เป็น ‘วันพิพากษาโทษ’ ซึ่งเป็นจริงตามที่อัลกิตาบมีเขียนไว้ทุกประการ 23 วันเหล่านั้นจะเป็นวันที่น่ากลัวอย่างยิ่งสำหรับหญิงที่มีครรภ์และหญิงแม่ลูกอ่อน แผ่นดินนี้จะมีความทุกข์โศกอย่างใหญ่หลวง อัลลอฮฺจะพิโรธคนเหล่านี้ 24 แล้วเขาจะต้องถูกประหารด้วยดาบและถูกนำตัวไปเป็นเชลยยังประเทศต่างๆ คนต่างชาติจะเหยียบย่ำกรุงเยรูซาเล็มจนกว่าพวกเขาจะสิ้นอำนาจ

บุตรมนุษย์จะมา

         25 “จะมีหมายสำคัญให้เห็นในดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวต่างๆ ชาติต่างๆ ในโลกจะพากันสิ้นหวัง เขาจะหวาดกลัวทะเลบ้า 26 มนุษย์จะต้องเป็นลมสลบไป เพราะความกลัวเมื่อเขาคอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกดุนยานี้ เพราะอำนาจในท้องฟ้าจะถูกขับออกไปนอกแนวของตน 27 แล้วเราผู้เป็นบุตรมนุษย์จะมาในเมฆด้วยฤทธานุภาพและรัศมีอันยิ่งใหญ่ 28 เมื่อเริ่มเกิดสิ่งเหล่านี้ จงยืนขึ้นเชิดหน้ารับ เพราะการปลดปล่อยตัวพวกท่านใกล้จะถึงแล้ว”

บทเรียนจากต้นมะเดื่อ

         29 แล้วอีซาเล่าเรื่องเปรียบเทียบนี้ให้เขาฟังว่า   “จงนึกถึงต้นมะเดื่อและต้นไม้อื่นๆ ไว้ 30 เมื่อท่านเห็นมันแตกใบอ่อน จงรู้ว่าฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว นี่ก็ช่นเดียวกัน 31 เมื่อท่านเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ท่านก็ทราบว่าการปกครองของอัลลอฮฺใกล้จะมาถึงแล้ว

         32 “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นก่อนที่คนชั่วอายุนี้จะล่วงลับไปหมด 33 ฟ้าและดินจะล่วงลับไป แต่คำของเราจะไม่มีวันเลือนหายไปเลย

คอยเฝ้าระวังไว้

         34 “คอยเฝ้าระวังไว้ อย่ามัวแต่กินดื่มกันจนเมามาย อย่ามัวห่วงถึงแต่ชีวิตนี้ มิฉะนั้นแล้ว วันนั้นอาจจะมาถึงอย่างฉับพลัน 35 เหมือนอย่างกับดัก เพราะว่าวันนั้นจะมาถึงคนทั้งปวงที่อยู่ทั่วพื้นแผ่นดินโลก 36 จงคอยเฝ้าขอดุอาอ์อยู่เสมอ เพื่อเจ้าจะมีกำลังฟันฝ่าสิ่งทั้งหมดนี้ไปได้อย่างปลอดภัย และยืนอยู่ต่อหน้าเราผู้เป็นบุตรมนุษย์ได้”

         37 อีซาสอนอยู่ในพระวิหารเป็นเวลาหลายวัน พอตกเย็นท่านก็เดินทางไปค้างคืนที่ภูเขามะกอกเทศ 38 คนทั้งปวงก็ไปคอยฟังท่านที่พระวิหารแต่เช้าตรู่

ลูกา 22

แผนการฆ่าอีซา

         1 ใกล้เทศกาลรับประทานขนมปังไม่ใส่เชื้อ ซึ่งเป็นเทศกาลฉลองปัสกา 2 ผู้นำทางศาสนากับธรรมาจารย์กลัวประชาชน จึงหาทางฆ่าอีซาอย่างเงียบๆ

ยูดาสตกลงจะทรยศอีซา

         3 ฝ่ายอิบลิสเข้าดลใจยูดาสที่เรียกกันว่าอิสคาริโอท เขาเป็นสาวกคนหนึ่งในพวกสาวกสิบสองคนนั้น 4 ยูดาสจึงออกไปบอกผู้นำทางศาสนากับเจ้าหน้าที่รักษาพระวิหาร ถึงแผนการที่เขาจะนำไปจับกุมตัวอีซา 5 คนเหล่านั้นยินดีมากและเสนอให้เงินยูดาส 6 ยูดาสก็ตกลงแล้วคอยหาโอกาสจะทรยศอีซาเมื่อปลอดคน

การจัดเตรียมงานเลี้ยงปัสกา

         7 พอถึงวันรับประทานขนมปังไม่ใส่เชื้อ ซึ่งเป็นวันที่ลูกแกะสำหรับปัสกาจะถูกนำไปทำกุรฺบาน 8 อีซาให้เปโตรกับยะหฺยาไป พร้อมทั้งสั่งว่า “ไปเตรียมงานเลี้ยงปัสกาไว้ให้พร้อมสำหรับพวกเราเถิด”

         9 เขาถามท่านว่า “จะให้พวกเราไปเตรียมไว้ที่ไหน?”

         10 อีซากล่าวว่า “ฟังนะ เมื่อเข้าไปในเมืองท่านจะพบชายคนหนึ่งทูนหม้อน้ำออกมาพบท่าน 11 จงตามเขาเข้าไปในบ้าน บอกเจ้าของบ้านว่า ‘อาจารย์ถามว่าจะให้อาจารย์กับสาวกใช้ห้องไหนเป็นที่จัดงานเลี้ยง   ปัสกา?’ 12 เขาจะชี้ห้องโถงชั้นบนที่ตกแต่งไว้พร้อมแล้วให้ จงไปจัดแจงทุกสิ่งไว้ให้พร้อมเถิด”

         13 เขาก็ไปและพบทุกสิ่งดังที่อีซากล่าวไว้ทุกประการ จึงได้จัดงานเลี้ยงปัสกาไว้ให้พร้อม

อีซาร่วมงานเลี้ยงปัสกา

         14 เมื่อเวลานั้นมาถึง อีซานั่งที่โต๊ะรับประทานพร้อมกับพวกซอฮาบะฮฺ    15 พลางกล่าวกับพวกเขาว่า “เราปรารถนาเป็นอย่างมากที่จะรับประทานในงานเลี้ยงปัสกากับพวกท่านก่อนหน้าที่เราจะถูกทรมาน 16 เราขอบอกว่า เราจะไม่รับประทานอีกเลยจนกว่าจะสำเร็จความหมายของปัสกาในอาณาจักรของอัลลอฮฺ”

         17 แล้วอีซาหยิบถ้วยน้ำองุ่นหมักขึ้นมา ขอชุโกธต่ออัลลอฮฺ กล่าวว่า “รับไปแจกดื่มกันเถิด 18 เราขอบอกว่า ตั้งแต่นี้ไปเราจะไม่ดื่มน้ำองุ่นหมักนี้อีกจนกว่าอาณาจักรของอัลลอฮฺจะมาถึง” 19 แล้วท่านหยิบขนมปังขึ้นมา ขอชุโกธต่ออัลลอฮฺ แล้วหักออกส่งให้แก่เขาทั้งหลายพลางกล่าวว่า “นี่เป็นกายของเรา ซึ่งให้ไว้สำหรับพวกท่าน จงทำอย่างนี้เป็นที่ระลึกถึงเรา” 20 เมื่อรับประทานแล้วท่านหยิบถ้วยน้ำองุ่นหมักขึ้นมา ทำเหมือนเดิมแล้วส่งให้แก่เขาทั้งหลายพลางกล่าวว่า        “ถ้วยนี้เป็นพันธสัญญาใหม่โดยโลหิตของเรา ซึ่งต้องไหลออกเพื่อท่าน

         21 “ดูแน่ะ คนที่ทรยศเรานั่งอยู่ที่โต๊ะนี้กับเราแล้ว 22 เราผู้เป็นบุตรมนุษย์จะต้องตายดังที่อัลลอฮฺทรงตั้งพระทัยไว้ แต่สำหรับคนที่ทรยศบุตรมนุษย์นั้นจะน่าสยดสยองยิ่งนัก”

         23 แล้วพวกเขาทั้งหลายก็หันไปถามกันว่า ใครในพวกเขาที่เป็นผู้ทรยศต่ออีซา

พวกซอฮาบะฮฺเถียงกันเรื่องใครเป็นใหญ่

         24 เขาทั้งหลายเถียงกันว่า ใครในพวกเขาที่จะได้เป็นใหญ่ 25 อีซาชี้แจงแก่เขาว่า “กษัตริย์ของคนต่างชาติมีอำนาจเหนือประชากรของเขา และพวกนักปกครองก็ได้ชื่อว่าเป็น‘ผู้ทำคุณประโยชน์แก่ประชาชน’ 26 แต่พวกท่านต้องไม่เป็นอย่างนี้ คนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่พวกท่านจะต้องเป็นเหมือนคนที่ต่ำต้อยที่สุด ผู้นำต้องเป็นเหมือนผู้ปรนนิบัติ 27 ใครใหญ่ที่สุดเล่า? ผู้นั่งลงรับประทานหรือผู้ปรนนิบัติ? คนที่นั่งลงรับประทานมิใช่หรือ? แต่เรามาอยู่ท่ามกลางพวกท่านเหมือนกับผู้ปรนนิบัติ

         28 “พวกท่านอยู่กับเราตลอดเวลาที่เราลำบาก 29 ฉะนั้นเมื่อพระบิดาของเราให้สิทธิ์เราปกครอง เราก็จะให้สิทธิ์แก่ท่านทั้งหลายปกครองเหมือนกัน 30 พวกท่านจะได้กินและดื่มร่วมโต๊ะกับเราในอาณาจักรของเรา และจะได้นั่งบัลลังก์พิพากษาพงศ์พันธุ์ของนบียะอฺกูบทั้งสิบสองตระกูล

อีซากล่าวล่วงหน้าว่าเปโตรจะปฏิเสธท่าน

         31 “ซีโมน ซีโมน ฟังไว้เถิด อิบลิสได้รับอนุญาตให้ทดสอบพวกท่านได้ทุกคน ดังชาวนาที่ฝัดแกลบออกจากข้าว 32 แต่เราอ้อนวอนอัลลอฮฺเพื่อท่านแล้ว ความศรัทธาของท่านจะได้ไม่คลอนแคลน และเมื่อท่านกลับมาหาเรา ท่านจะต้องช่วยให้พวกพี่น้องมีกำลังใจด้วย”

         33 เปโตรตอบว่า “ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าพร้อมที่จะถูกจองจำกับท่านและตายกับท่านด้วย”

         34 “เปโตร เราจะบอกท่าน” อีซากล่าวกับเขาว่า “วันนี้ก่อนไก่ขัน ท่านจะบอกว่าไม่รู้จักเราถึงสามครั้ง”

ถุงเงิน ย่ามและดาบ

         35 แล้วอีซาถามพวกเขาว่า “ครั้งนั้นเมื่อเราใช้พวกท่านออกไปโดยไม่ให้เอาถุงเงิน ย่าม หรือรองเท้าติดไป พวกท่านขาดสิ่งใดหรือ?”

         “ไม่ขาดเลยสักสิ่งเดียว” พวกเขาตอบ

36 อีซากล่าวว่า “แต่เดี๋ยวนี้ ใครมีถุงเงิน มีย่าม ก็ให้เอาไปด้วย และใครที่ไม่มีดาบ ก็ให้ขายเสื้อของตนเสีย เอาเงินไปซื้อดาบ 37 เราขอบอกว่า ข้ออัลกิตาบซึ่งเขียนไว้แล้วนั้นต้องสำเร็จในเรา คือที่ว่า ‘ท่านถูกนับเข้าในพวกอาชญากร’ พระดำรัสที่กล่าวถึงเรานั้นจะต้องเป็นจริง”

38 พวกสาวกตอบท่านว่า “ท่านเจ้าข้า ที่นี่มีดาบอยู่สองเล่ม”

         “พอแล้ว” อีซาตอบ

อีซาขอดุอาอ์ที่ภูเขามะกอกเทศ

         39 อีซาไปยังภูเขามะกอกเทศเช่นที่เคยกระทำมา บรรดาสาวกก็ไปกับท่านด้วย 40 เมื่อมาถึงที่นั่น อีซาสั่งพวกเขาว่า “หมั่นขอดุอาอ์ไว้ เพื่อไม่ให้เข้าในการทดลอง”

         41 แล้วท่านเดินไปห่างจากพวกเขาแค่ระยะขว้างก้อนหินตก คุกเข่าลงขอดุอาอ์ว่า 42 “พระบิดาเจ้าข้า ถ้าเป็นพระประสงค์ของพระองค์แล้ว ขอทรงเอาความทรมานนี้ไปจากข้าพระองค์เสียเถิด แต่อย่าให้เป็นไปตามใจชอบของข้าพระองค์เลย ขอให้ป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์” 43 มีมลาอิกะฮฺมาปรากฏกายให้กำลังใจท่าน 44 เมื่อจิตใจเป็นทุกข์ ท่านก็ยิ่งขอดุอาอ์มากขึ้น จนกระทั่งเหงื่อไหลเหมือนโลหิตหยดลงดิน

         45 เมื่อขอดุอาอ์แล้วก็ลุกขึ้นกลับไปหาพวกสาวก ก็พบว่าพวกเขานอนหลับอยู่ เพราะอ่อนเพลียด้วยความเศร้าเสียใจ 46 จึงบอกเขาว่า “มัวนอนหลับอยู่ทำไม? ลุกขึ้นขอดุอาอ์เถิด จะได้ไม่พ่ายแพ้ต่อการทดลอง”

เขาจับกุมอีซา

         47 อีซากล่าวยังไม่ทันขาดคำ ก็มีคนหมู่หนึ่งมาถึง ยูดาสซึ่งเป็นสาวกคนหนึ่งในสิบสองคนเป็นผู้นำคนพวกนั้นมา เขาตรงเข้ามาจูบอีซา 48 แต่อีซาถามเขาว่า “ยูดาส จะทรยศบุตรมนุษย์ด้วยการจูบหรือ?”

49 เมื่อพวกสาวกที่อยู่ด้วยเห็นว่าจะเกิดเหตุอะไรต่อไป ก็ถามท่านว่า “ท่านเจ้าข้า ให้เราเอาดาบฟันเขาไหม?” 50 คนหนึ่งในพวกสาวกฟันทาสของหัวหน้าทางศาสนาหูขวาขาด

         51 แต่อีซาห้ามว่า “พอแล้ว” แล้วท่านแตะหูชายนั้นรักษาเขาให้หาย 52 แล้วอีซากล่าวแก่พวกผู้นำทางศาสนา กับเจ้าหน้าที่รักษาพระวิหาร และพวกผู้ใหญ่ของชาวยาฮูดีที่พากันมาจับท่านว่า “ทำไมจึงถือดาบถือกระบองมาจับเรา เหมือนว่าเราเป็นโจร? 53 เราอยู่กับพวกท่านในพระวิหารทุกวัน ทำไมไม่จับเรา แต่บัดนี้เป็นโอกาสของพวกท่าน อำนาจมืดกำลังครองอยู่”

เปโตรปฎิเสธอีซา

         54 เขาจับอีซาพาไปที่บ้านของหัวหน้าทางศาสนา เปโตรตามไปห่างๆ 55 มีกองไฟก่ออยู่กลางลานบ้าน เปโตรก็เข้าไปนั่งร่วมวงกับเขา 56 สาวใช้คนหนึ่งเห็นเขานั่งอยู่ข้างกองไฟก็หันมาจ้องมองแล้วยืนยันว่า  “ชายคนนี้ก็อยู่กับอีซาด้วย”

         57 แต่เปโตรปฏิเสธว่า “นี่แน่ะข้าไม่รู้จักผู้นั้นเลย”

         58 สักครู่หนึ่งมีอีกคนสังเกตเห็นเปโตรก็ยืนยันว่า “แกก็เป็นคนหนึ่งในพวกนั้นด้วย”

         แต่เปโตรปฏิเสธว่า “พ่อหนุ่มเอ๋ย ข้าไม่ ได้เป็น”

         59 ราวหนึ่งชั่วโมงต่อมา ชายอีกคนหนึ่งยืนยันอย่างมั่นใจว่า “ไม่ต้องสงสัยเลย ชายคนนี้ก็อยู่กับอีซาด้วย เพราะเป็นชาวกาลิลีด้วยกัน”

         60 แต่เปโตรปฏิเสธว่า “พ่อหนุ่มเอ๋ย ข้าไม่รู้ว่าท่านพูดถึงเรื่องอะไรกัน” เปโตรพูดยังไม่ทันขาดคำ ทันใดนั้นไก่ก็ขัน 61 อีซาผู้เป็นเจ้านายเหลียวดูเปโตร แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ถึงถ้อยคำที่อีซากล่าวว่า “วันนี้ก่อนไก่ขัน ท่านจะบอกว่าไม่รู้จักเราถึงสามครั้ง” 62 เปโตรก็ออกไปร้องไห้อย่างขมขื่น

อีซาถูกเยาะเย้ยและเฆี่ยนตี

         63 พวกที่คุมอีซาพากันเยาะเย้ยและเฆี่ยนตีท่าน 64 เขาเอาผ้าปิดตาท่าน ถามว่า “ทายซิว่าใครเป็นคนตี?” 65 แล้วเขาพูดเหยียดหยามท่านอีกหลายอย่าง

อีซาอยู่ต่อหน้าที่ประชุม

         66 พอสว่างพวกผู้ใหญ่ของประชาชน ผู้นำทางศาสนากับธรรมาจารย์ มาพร้อมหน้ากัน มีคนนำอีซามายังที่ประชุมของพวกเขา

         67 “ไหน บอกมาซิ” เขาซัก “ว่าท่านเป็นอัล-มะซีฮฺหรือ?”

         อีซาตอบว่า “ถ้าเราบอกว่าใช่ พวกท่านก็คงไม่เชื่อ 68 และถ้าเราถามคำถามท่าน ท่านก็จะไม่ตอบเรา 69 อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่นี้ไป เราผู้เป็นบุตรมนุษย์จะนั่งอยู่เบื้องขวาของอัลลอฮฺผู้ทรงฤทธานุภาพ”

         70 พวกเขาต่างถามว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านเป็นบุตรของอัลลอฮฺหรือ?”

         อีซาตอบพวกเขาว่า “ก็ท่านพูดถูกแล้วว่าเราเป็น”

         71 คนเหล่านั้นจึงพูดว่า “เราไม่ต้องการพยานอีกแล้ว เราทุกคนก็ได้ยินกับหูของเราเองแล้วนี่”

ลูกา 23

อีซาอยู่ต่อหน้าเจ้าเมืองปีลาต

         1 ทุกคนในที่ประชุมนั้นลุกขึ้น พาอีซาไปหาเจ้าเมืองปีลาต 2 แล้วฟ้องว่า “พวกเราได้พบชายคนนี้มาปลุกปั่นประชาชนอย่างผิดๆ ยุประชาชนไม่ให้เสียภาษีให้องค์จักรพรรดิ และอ้างตัวเองว่าเป็นอัล-มะซีฮฺกษัตริย์องค์หนึ่ง”

         3 ปีลาตจึงหันไปซักอีซาว่า “เจ้าเป็นกษัตริย์ของชาวยาฮูดีหรือ?”

         อีซาตอบว่า “ก็ท่านว่าแล้วนี่”

         4 แล้วปีลาตชี้แจงให้พวกผู้นำทางศาสนา และมหาชนฟังว่า “เราไม่เห็นมีเหตุจะลงโทษชายนี้”

         5 แต่เขายิ่งยืนกรานว่า “ชายนี้ปลุกปั่นประชาชนด้วยคำสอนของเขา เริ่มที่แคว้นกาลิลีก่อน แล้วไปทั่วแคว้นยูเดีย ตอนนี้ก็มาปลุกปั่นที่นี่”

อีซาอยู่ต่อหน้าเฮโรด

         6 เมื่อปีลาตได้ยินดังนั้นก็ถามว่า “ชายนี้เป็นชาวกาลิลีหรือ?” 7 แต่พอทราบว่าอีซามาจากเขตแดนที่เฮโรดปกครอง ท่านจึงส่งอีซาไปหาเฮโรด ซึ่งขณะนั้นมาที่กรุงเยรูซาเล็ม 8 เฮโรดพอใจมากที่พบอีซา เพราะเคยได้ยินข่าวมาแล้ว และปรารถนาจะเห็นท่านมานานแล้วด้วย เฮโรดหวังจะดูท่านกระทำการมหัศจรรย์บ้าง   9 จึงซักถามอีซาหลายประการ แต่ท่านไม่ตอบว่าอะไร

         10 พวกผู้นำทางศาสนากับธรรมาจารย์ก้าวออกมากล่าวหาอีซาอย่างรุนแรง 11 เฮโรดกับพวกทหารล้อเลียนเหยียดหยามอีซา แล้วเอาเสื้ออย่างดีมาให้ท่านสวมและส่งตัวกลับไปหาปีลาต 12 วันนั้นเองเฮโรดกับปีลาตก็คืนดีกัน ก่อนนี้ทั้งสองเป็นศัตรูกัน

อีซาถูกพิพากษาประหารชีวิต

         13 ปีลาตเรียกพวกผู้นำทางศาสนา พวกหัวหน้าชาวยาฮูดี และประชาชนมาพร้อมกัน 14 กล่าวว่า “พวกท่านนำชายผู้นี้มาให้เราโดยกล่าวหาว่า เขาปลุกปั่นประ ชาชนอย่างผิดๆ นี่ เราก็ได้สอบสวนเขาแล้วต่อหน้าพวกท่าน ไม่เห็นว่าเขาทำผิดตรงไหน หรือทำสิ่งเลวร้ายดังที่พวกท่านกล่าวหา 15 เฮโรดก็ไม่ได้พบว่าชายผู้นี้ผิด จึงส่งกลับมาให้เรา ชายผู้นี้ไม่ได้ทำสิ่งที่สมควรจะถูกประหารชีวิตเลย 16 เราจะสั่งให้เฆี่ยนเขา แล้วปล่อยตัวไป” 17 ในเทศกาลฉลองปัสกาทุกครั้ง ปีลาตจะต้องสั่งปล่อยนักโทษคนหนึ่งให้ประชาชน  18 แต่มหาชนกลับโห่ร้องตะโกนเอ็ดอึงว่า “ฆ่าเขาเสีย ปล่อยบารับบัสให้พวกเรา” 19 (บารับบัสถูกจับขังคุกเพราะฆ่าคนตายและก่อการจลาจลในเมืองนั้น)

         20 ปีลาตอยากจะปล่อยตัวอีซา ท่านจึงพูดกับมหาชนอีก 21 แต่พวกเขากลับตะโกนว่า “เอาตัวเขาไปตรึงที่ไม้กางเขน เอาไปตรึงเสีย”

         22 ปีลาตถามคนทั้งหลายเป็นครั้งที่สามว่า “เขาทำผิดอะไรร้ายแรงเล่า? เราไม่เห็นว่าเขาทำผิดอะไรที่สมควรจะต้องตายเลย เราจะเฆี่ยนเขาแล้วปล่อยตัวไป”

23 แต่ทุกคนยังตะโกนสุดเสียงให้เอาอีซาไปตรึงไว้กับไม้กางเขน ในที่สุดเสียงของมหาชนก็ชนะ 24 ปีลาตจึงตัดสินอีซาตามที่พวกเขาขอ 25 ท่านปล่อยชายคนที่ประชาชนต้องการให้เป็นอิสระ ซึ่งถูกจับขังคุกฐานก่อการจลาจลและฆ่าคนตาย แล้วปีลาตก็มอบอีซาให้พวกเขาทำตามใจชอบ

อีซาถูกตรึงไม้กางเขน

         26 เขาพาอีซาออกไป ตามทางเขาพบชายคนหนึ่งชื่อซีโมน เป็นชาวไซรีนกำลังเดินเข้าเมือง เขาจึงบังคับให้ซีโมนแบกไม้กางเขนเดินตามอีซาไป 27 ผู้คนพากันเดินตามอีซาไปอย่างเนืองแน่น มีพวกผู้หญิงหลายคนเดินตามไปด้วย พลางร้องไห้สงสารท่าน 28 อีซาจึงหันไปปลอบเขาว่า “หญิงชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย อย่าร้องไห้สงสารเราเลย จงร้องไห้สงสารตัวเองกับลูกๆ เถิด 29 เพราะวันคืนใกล้เข้ามาแล้วที่ผู้คนจะพากันพูดว่า ‘หญิงที่เป็นหมัน หญิงที่ไม่เคยมีลูก และหญิงที่ไม่เคยเลี้ยงลูกอ่อน ก็เป็นสุข’ 30 เวลานั้นแหละ ผู้คนจะพากันขอร้องภูเขาว่า ‘พังทับเราทีเถอะ’ และวิงวอนหินผาว่า ‘ช่วยซ่อนเราหน่อย’ 31 เพราะถ้าเขาทำอย่างนี้ในเวลาที่ต้นไม้เขียวสดอยู่ ในเวลาที่กิ่งไม้แห้งกรอบเล่า จะถูกทำรุนแรงกว่านั้นสักเพียงไหน?”

         32 พวกเขาพาผู้ร้ายอีกสองคนมาด้วย เพื่อประหารเสียพร้อมกับอีซา 33 เขาพาไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกเนินหัว กระโหลก แล้วเอาอีซาไปตรึงไว้ที่นั่น และตรึงผู้ร้ายสองคนนั้นไว้ทางด้านซ้ายของท่านคนหนึ่ง ด้านขวาคนหนึ่ง 34 อีซากล่าวว่า “พระบิดาเจ้าข้า โปรดยกโทษให้เขาด้วย เพราะเขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไร”

         คนเหล่านั้นจับ ฉลากเพื่อแบ่งเสื้อผ้าของอีซา 35 มีผู้คนมากมายยืนดูอยู่ในขณะที่พวกผู้นำชาวยาฮูดีเยาะเย้ยท่านว่า “เขาช่วยคนอื่นได้นี่นา ก็ให้เขาช่วยตัวเองด้วยซิถ้าหากเขาเป็นอัล-มะซีฮฺ ผู้ที่อัลลอฮฺทรงเลือกไว้จริงๆ”

         36 พวกทหารก็เยาะเย้ยท่านด้วย เขาเอาน้ำองุ่นหมักอย่างเลวให้ท่านดื่ม 37 แล้วเย้ยว่า “ช่วยตัวเองซิ ถ้าเจ้าเป็นกษัตริย์ของชาวยาฮูดีจริง” 38 เขาเขียนข้อความเหล่านี้ติดไว้เหนือท่านว่า “นี่คือกษัตริย์ของชาวยาฮูดี” 39 ผู้ร้ายคนหนึ่งที่ถูกตรึงอยู่ด้วยก็เยาะท่านว่า “แกเป็นอัล-มะซีฮฺไม่ใช่หรือ?  จงช่วยตัวเองและช่วยเราด้วยซิ”

         40 แต่อีกคนหนึ่งท้วงว่า “แกไม่กลัวเกรงอัลลอฮฺหรือ? เราทั้งสองต่างก็ถูกประหารชีวิตเหมือนกัน 41 ที่เราได้รับโทษนี้ก็สมควรแล้ว แต่ท่านผู้นี้ซิไม่ได้ทำผิดอะไรเลย” 42 แล้วเขาอ้อนวอนอีซาว่า “อีซา โปรดระลึกถึงข้าพเจ้าด้วยเมื่อพระองค์เสด็จมาครอบครองในอาณาจักรของพระองค์”

         43 อีซาตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า วันนี้ท่านจะได้อยู่กับเราในสวนสวรรค์”

อีซาสิ้นชีวิต

         44 ประมาณเที่ยงวัน ดวงอาทิตย์ก็มืดไป และทั่วเมืองนั้นมืดมิดอยู่จนกระทั่งบ่ายสามโมง 45 ม่านที่แขวนกั้นในสถานที่บริสุทธิ์ขาดกลางออกเป็นสองท่อน 46 อีซาร้องเสียงดังว่า “พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ขอฝากจิตวิญญาณไว้ในพระหัตถ์พระองค์ด้วย” พอกล่าวขาดคำก็สิ้นชีวิต

         47 เมื่อนายทหารเห็นดังนี้ก็กล่าวสรรเสริญอัลลอฮฺว่า “แท้จริงท่านผู้นี้ไม่มีความผิด”

         48 เมื่อประชาชนที่มาออดูเหตุการณ์ เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นก็กลับไปบ้านพลาง

ทุบอกตนเอง 49 ส่วนคนที่รู้จักอีซาดี รวมทั้งพวกผู้หญิงที่ตามท่านมาจากแคว้นกาลิลี คอยยืนอยู่ห่างๆ ดูเหตุการณ์นี้

เขาฝังศพอีซา

         50-51 มีชายชาวยาฮูดีผู้หนึ่งชื่อยูสุฟ ชาวบ้านอาริมาเธียในแคว้นยูเดีย เป็นคนดีมีผู้นับถือเขามาก กำลังรอคอยการปกครองของอัลลอฮฺ แม้ว่าเขาจะเป็นสมาชิกสภาก็ตาม แต่เขาไม่เห็นชอบกับการตัดสินและการกระทำของคนเหล่านั้น 52 ยูสุฟไปหาปีลาต ขออนุญาตรับศพอีซาไป 53 เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว เขาก็ปลดร่างของอีซาลงจากไม้กางเขนเอาผ้าป่านพันร่างหุ้มห่อไว้มิดชิด แล้ววางไว้ในกุโบรซึ่งเจาะลงไปในหิน กุโบรนั้นเป็นกุโบรใหม่ ยังไม่เคยใช้ฝังศพผู้ใดเลย 54 วันนั้นเป็นวันศุกร์เกือบจะถึงวันบริสุทธิ์อยู่แล้ว

         55 พวกผู้หญิงที่ตามอีซามาตั้งแต่แคว้นกาลิลีก็ไปกับยูสุฟที่กุโบรเพื่อดูว่าเขาเอาศพไว้อย่างไร 56 แล้วต่างก็กลับไปบ้านเตรียมเครื่องหอมและน้ำมันหอมไว้ชโลมศพของอีซา วันนั้นเป็นวันบริสุทธิ์ พวกเขาก็หยุดพักผ่อนตามที่ธรรมบัญญัติในคัมภีร์เตารอฮฺสั่งไว้

ลูกา 24

อีซาฟื้นขึ้นจากความตาย

         1 รุ่งอรุณของวันอาทิตย์นั้นเอง พวกผู้หญิงไปที่กุโบร เอาเครื่องหอมที่ตนเตรียมไว้ไปด้วย 2 แต่พอไปถึงกุโบร ก็พบว่าหินใหญ่ที่ปิดปากกุโบรนั้นกลิ้งออกจากที่แล้ว 3 จึงพากันเดินเข้าไปข้างในแต่ไม่พบศพอีซาผู้เป็นเจ้านาย 4 เขายืนงงอยู่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ทันใดนั้น มีชายสองคนสวมเสื้อผ้าเป็นประกายวับมายืนอยู่ข้างเขา 5 พวกผู้หญิงพากันตกใจกลัวจนตัวสั่น ฟุบลงกับพื้น

         ชายนั้นบอกเขาว่า “ทำไมจึงมองหาคนเป็นในหมู่คนตายเล่า? 6 ท่านไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ฟื้นขึ้นจากความตายแล้ว    จำที่อีซากล่าวกับพวกท่านเมื่ออยู่ที่กาลิลีไม่ได้หรือ ที่กล่าวว่า 7 ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกจับส่งไปให้มนุษย์ใจบาปตรึงไว้กับไม้กางเขน และวันที่สามจะฟื้นขึ้นจากความตาย’ ”

         8 แล้วพวกผู้หญิงก็นึกขึ้นมาได้ 9 จึงชวนกันกลับออกไปจากกุโบร เล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้สาวกทั้งสิบเอ็ดคนและคนอื่นๆ ฟัง 10 พวกผู้หญิงเหล่านี้มี มัรฺยัมชาวมักดาลา    โยอันนา กับมัรฺยัมมารดาของยะอฺกูบ พร้อมกับผู้หญิงอื่นๆ          อีกที่มาเล่าเหตุการณ์นั้นแก่พวก  ซอฮาบะฮฺ 11 แต่พวกซอฮาบะฮฺคิดว่าคนเหล่านี้พูดเหลวไหลจึงไม่เชื่อ 12 ส่วนเปโตรวิ่งไปที่กุโบร เมื่อถึงแล้วเขาก้มลงตรวจดู ก็เห็นแต่ผ้าพันศพอยู่ในกุโบร ไม่ได้เห็นอะไรอย่างอื่นอีก เขาจึงกลับบ้าน นึกแปลกใจในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น

ตามทางไปเมืองเอมมาอูส

         13 ในวันเดียวกันนั้นเองสาวกสองคนของอีซากำลังเดินไปยังหมู่บ้านเอมมาอูส ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็มราวๆ สิบเอ็ดกิโลเมตร 14 ระหว่างที่เดินไปก็คุยกันไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น 15 ขณะที่คุยกันไปโต้ตอบกันไป อีซาก็มาใกล้แล้วเดินไปกับเขา 16 ทั้งสองคนเห็นท่าน แต่มีบางอย่างทำให้เขาจำท่านไม่ได้          17 อีซาถามเขาว่า “นี่ พวกท่านกำลังเดินพูดถึงเรื่องอะไรกัน?”  ทั้งสองคนก็หยุดยืน หน้าตาโศกเศร้า 18 คนหนึ่งชื่อเคลโอปัสหันไปพูดว่า “ท่านเป็นคนเดียวในกรุงเยรูซาเล็มหรือที่ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสองสามวันมานี้?”

         19 อีซาถามว่า “เรื่องอะไร?”  เขาตอบว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นแก่อีซาชาวนาซาเร็ธซึ่งเป็นนบี ท่านนี้มีฤทธานุภาพในคำพูดและในการกระทำ ซึ่งอัลลอฮฺทรงให้แก่ท่าน คนทั้งปวงก็เห็น 20 พวกผู้นำทางศาสนาและพวกหัวหน้าชาวยาฮูดีได้มอบท่านให้เจ้าเมืองปีลาตประหารชีวิต ท่านจึงถูกตรึงกับไม้กางเขน 21 พวกเราหวังกันว่าท่านจะเป็นผู้มาปลดปล่อยพงศ์พันธุ์ของนบียะอฺกูบ       

         นอกจากนั้น นี่เป็นวันที่สามแล้วตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น 22 พวกผู้หญิงบางคนในหมู่พวกเราทำให้เราแปลกใจมากตอนเช้าตรู่ เขาไปที่กุโบร 23 แต่ไม่พบศพของท่าน เขากลับมาเล่าว่าเขาเห็นมลาอิกะฮฺมาปรากฏพูดว่า ท่านฟื้นขึ้นจากความตาย 24 พวกเราบางคนไปดูที่กุโบรก็พบเหมือนที่พวกผู้หญิงเล่า แต่ไม่มีใครเห็นท่าน”

         25 แล้วอีซากล่าวกับเขาว่า “ท่านนี่ช่างเขลาเหลือเกิน ทำไมจึงเชื่อคำของบรรดานบียากอย่างนี้ 26 อัล-มะซีฮฺจำเป็นต้องทนทุกข์เช่นนี้ แล้วจึงได้รับศักดิ์ศรีของท่านไม่ใช่หรือ?” 27 แล้วอีซาอธิบายอัลกิตาบที่กล่าวถึงท่านเองทุกข้อ เริ่มต้นตั้งแต่ มูซาและบรรดานบีทั้งหมด

         28 เมื่อพวกเขาเดินมาใกล้จะถึงหมู่บ้านเอมมาอูส อีซาทำเหมือนดังว่าจะเลยไป 29 แต่เขายึดท่านไว้ ชวนว่า “ค้างคืนเสียกับพวกเราเถิดเพราะนี่จะใกล้ค่ำอยู่แล้ว” 30 ท่านจึงเข้าไปพักกับเขา นั่งร่วมโต๊ะอาหารแล้วหยิบขนมปังขึ้นมากล่าวขอชุโกธต่ออัลลอฮฺ แล้วหักออกแจกให้เขา 31 แล้วทั้งสองคนก็ตาสว่างจำท่านได้ แต่ท่านหายลับไปเสียแล้ว 32 เขาบอกกันอย่างตื่นเต้นว่า “เมื่อตอนที่ท่านเดินอธิบายอัลกิตาบให้เราฟังตามทางนั้น ใจเราเร่าร้อนเหมือนถูกไฟเผา”

         33 เขารีบเดินทางกลับกรุงเยรูซาเล็ม พบสาวกสิบเอ็ดคนกับคนอื่นๆ ชุมนุมกันอยู่ที่นั่น 34 คนเหล่านั้นเล่าว่า “อีซาผู้เป็นเจ้านายฟื้นขึ้นมาจากความตายจริงๆ และได้ปรากฏแก่ซีโมน”

         35 แล้วทั้งสองคนก็เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามทางว่า เขาจำอีซาได้ขณะที่

ท่านหักขนมปัง

อีซาปรากฏแก่พวกสาวก

         36 ขณะที่เขากำลังเล่าให้สาวกทั้งหลายฟังอยู่ ทันใดนั้นอีซามายืนอยู่ท่ามกลางพวกเขา กล่าวว่า “อัสลามมูอาลัยกุม” 37 ทุกคนทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว เพราะคิดว่าเห็นผี 38 แต่อีซากล่าวกับเขาว่า “ตกใจกันทำไม? ทำไมจึงมีใจสงสัย? 39 มองดูที่มือที่เท้าของเราซิ แล้วจะเห็นว่าเป็นเราเอง จับดูซิแล้วจะได้รู้แน่ เพราะผีไม่มีเนื้อไม่มีกระดูก ไม่เหมือนที่ท่านเห็นเราอยู่นี้”

         40 พอกล่าวแล้วก็ให้เขาดูมือและเท้าของท่าน 41 แต่เขาก็ยังไม่เชื่อสนิท ทุกคนทั้งยินดีและอัศจรรย์ใจ แล้วท่านจึงถามพวกเขาว่า “พวกท่านมีอะไรกินบ้างเล่า?”          42 พวกสาวกก็ส่งปลาที่สุกแล้วชิ้นหนึ่งให้ 43 ซึ่งท่านก็รับเอามารับประทานต่อหน้าเขา 44 แล้วท่านกล่าวกับพวกสาวกว่า “เราขอบอกพวกท่านในระหว่างที่เรายังอยู่กับพวกท่านว่า ทุกอย่างที่เขียนไว้เกี่ยวกับเราในธรรมบัญญัติของมูซาก็ดี คัมภีร์ของบรรดานบีก็ดี และคัมภีร์ซะบูรฺก็ดีต้องเป็นจริงตามนั้น”

         45 แล้วท่านช่วยให้ใจของพวกเขาสว่างเพื่อจะได้เข้าใจอัลกิตาบ 46 กล่าวแก่เขาว่า “ในอัลกิตาบมีเขียนไว้ว่า อัล-มะซีฮฺจะต้องถูกทรมานและในวันที่สามจะฟื้นขึ้นจากความตาย 47 เรื่องการกลับใจใหม่และการยกโทษบาป จะต้องประกาศไปทั่วทุกชาติทุกภาษาในนามของท่าน เริ่มต้นที่กรุงเยรูซาเล็มก่อน 48 พวกท่านจะเป็นพยานถึงสิ่งเหล่านี้ 49 เราเองจะมอบสิ่งที่พระบิดาของเราทรงสัญญาจะประทานแก่พวกท่าน แต่พวกท่านต้องคอยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มก่อน จนกว่าฤทธานุภาพจากเบื้องบนจะลงมาเหนือท่าน”

การขึ้นสู่สรวงสวรรค์ของอีซา

         50 แล้วท่านพาพวกสาวกออกไปจากเมือง ไปถึงหมู่บ้านเบธานี ที่นั่นท่านยกมือขึ้นขอดุอาอ์ให้พวกเขา 51 ขณะที่ยังขอดุอาอ์อยู่ท่านก็ถูกรับขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์ 52 พวกเขาก้มกราบต่อท่าน แล้วกลับเข้ากรุงเยรูซาเล็มด้วยความปลาบปลื้ม 53 พวกเขาอยู่ในพระวิหารเป็นประจำ เพื่อสรรเสริญอัลลอฮฺ

ยะหฺยา

บิสมิลลาฮิรเราะฮ์มานิรรอฮีม

ยะหฺยา 1

กาลิมะตุลลอฮฺเข้ามาในโลกดุนยา

         1 ตอนเริ่มต้นก่อนโลกดุนยานี้เกิดขึ้นก็มีกาลิมะตุลลอฮฺอยู่แล้ว กาลิมะตุลลอฮฺอยู่กับอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺเป็นฉันใด กาลิมะตุลลอฮฺก็เป็นฉันนั้น 2 กาลิมะตุลลอฮฺอยู่กับอัลลอฮฺตั้งแต่เริ่มต้น 3 อัลลอฮฺทรงสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาโดยกาลิมะตุลลอฮฺ ในบรรดาสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นนั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ไม่ได้เกิดมาจากกาลิมะตุลลอฮฺ 4 กาลิมะตุลลอฮฺเป็นแหล่งแห่งชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์   5 ความสว่างส่องเข้ามาในความมืดและความมืดไม่สามารถเอาชนะความสว่างนั้นได้

         6 มีชายคนหนึ่งที่อัลลอฮฺทรงส่งมาคือนบียะหฺยา 7 เขามาเพื่อเป็นพยานให้แก่ความสว่างนั้นเพื่อว่าทุกคนจะได้ศรัทธาผ่านทางเขา 8 เขาไม่ใช่ความสว่างนั้น แต่เขามาเพื่อเป็นพยานให้แก่ความสว่างนั้น  9 ความสว่างแท้ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเห็นสัจธรรมได้นั้นกำลังเข้ามาในโลกดุนยา 10 ท่านอยู่ในโลกดุนยาที่อัลลอฮฺทรงสร้างขึ้นมาผ่านทางท่าน แต่โลกดุนยากลับไม่รู้จักท่าน 

         11 เมื่อท่านได้มายังบ้านเมืองของท่าน ชาวบ้านชาวเมืองของท่านกลับไม่ยอมรับท่าน 12 แต่ทุกคนที่ยอมรับท่านและศรัทธาในนามของท่านนั้น ท่านก็ให้สิทธิพวกเขาเป็นเหมือนลูกที่รักของอัลลอฮฺ 13 พวกเขาไม่ได้เป็นเหมือนลูกที่เกิดจากเลือดเนื้อหรือกามารมณ์ หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เป็นเหมือนลูกโดยได้รับฐานะจากอัลลอฮฺ

         14 กาลิมะตุลลอฮฺนั้นมาเกิดเป็นมนุษย์และมีชีวิตอยู่ท่ามกลางเรา เราเห็นสง่าราศีของท่านซึ่งเหมือนสง่าราศีของบุตรคนเดียวของพระบิดา บริบูรณ์ด้วยความกรุณาปรานีและสัจธรรม 15 นบียะหฺยาเป็นพยานให้กับท่านและร้องประกาศว่า นี่แหละคือท่านผู้ที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงว่า ท่านผู้มาภายหลังข้าพเจ้าแต่เป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า เพราะว่าท่านดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า 16 ท่านเต็มเปี่ยมไปด้วยความกรุณาปรานีซึ่งพวกเราได้รับครั้งแล้วครั้งเล่า 17 คือว่า เมื่อก่อนอัลลอฮฺได้ให้เตารอฮฺผ่านทางนบีมูซา แต่บัดนี้อัลลอฮฺได้สำแดงความกรุณาปรานีและสัจธรรมผ่านมาทางอีซาอัล-มะซีฮฺ 18 ไม่มีใครเคยเห็นอัลลอฮฺเลย แต่ผู้เป็นหนึ่งเดียวซึ่งเป็นพระเจ้าอยู่ใกล้กับพระทัยพระบิดาได้เปิดเผยอัลลอฮฺแล้ว

คำพยานของนบียะหฺยา

         19 นี่เป็นคำพยานของนบียะหฺยา คือเมื่อพวกยาฮูดีส่งพวกผู้ประกอบพิธีทางศาสนาและพวกเลวีจากกรุงเยรูซาเล็มไปถามนบียะหฺยาว่า ท่านคือใคร 20 ท่านก็ยอมรับและไม่ได้ปฏิเสธคือยอมรับว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่อัล-มะซีฮฺ 21 พวกเขาจึงถามว่า  ถ้าอย่างนั้นท่านเป็นใคร? เป็นนบีอิลยาสหรือ? นบียะหฺยาตอบว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่นบีอิลยาส ท่านเป็นนบีที่เรากำลังคอยหรือ? และนบียะหฺยาตอบว่า ไม่ใช่ 22 พวกเขาจึงถามว่า แล้วท่านเป็นใคร? ขอให้ตอบมาจะได้ไปบอกคนที่ส่งเรามา ท่านจะตอบเรื่องตัวท่านว่าอย่างไร? 23 ท่านตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นเสียงของคนที่ร้องประกาศในถิ่นทุรกันดารว่า จงทำทางของพระผู้เป็นเจ้าให้ตรงไป ตามที่นบียะฮฺซยา กล่าวไว้

         24 คนเหล่านั้นที่พวกฟาริสีส่งมา 25 ถามนบียะหฺยาว่า  ถ้าท่านไม่ใช่อัล-มะซีฮฺหรือนบีอิลยาสหรือนบีที่เรากำลังคอยนั้น แล้วทำไมท่านถึงให้บัพติศมา? 26 นบียะหฺยาตอบเขาว่า ข้าพเจ้าให้บัพติศมาด้วยน้ำ* แต่มีคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางพวกท่านที่ท่านไม่รู้จัก 27 ท่านผู้นั้นมาภายหลังข้าพเจ้า แม้แต่สายรัดรองเท้าของท่าน ข้าพเจ้าก็ไม่สมควรที่จะแก้ 28 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่หมู่บ้านเบธานีฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นที่ซึ่งนบียะหฺยากำลังให้บัพติศมา

 

แกะหนุ่มของอัลลอฮฺ

         29 วันรุ่งขึ้นนบียะหฺยาเห็นอีซากำลังมาทางตนจึงกล่าวว่า ดูซิ นี่คือแกะหนุ่มของอัลลอฮฺผู้รับบาปของโลกดุนยาไป 30 ท่านผู้นี้แหละที่ข้าพเจ้ากล่าวว่า ภายหลังข้าพเจ้าจะมีผู้หนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าข้าพเจ้ามา เพราะว่าท่านดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า 31 ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักท่าน แต่เพื่อให้ท่านเป็นที่ประจักษ์แก่พงศ์พันธุ์ของนบียะอฺกูบ ข้าพเจ้าจึงให้บัพติศมาด้วยน้ำ

32 และนบียะหฺยากล่าวเป็นพยานว่า ข้าพเจ้าเห็นรุฮุลลอฮ์เสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์เหมือนดังนกพิราบและทรงอยู่กับท่าน 33 ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักท่านแต่อัลลอฮฺผู้ทรงส่งข้าพเจ้ามาให้บัพติศมาด้วยน้ำได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า เมื่อเห็นรุฮุลลอฮ์เสด็จลงมาทรงอยู่กับคนใด คนนั้นแหละจะเป็นคนให้บัพติศมาด้วยอัลรูฮุลกุดุซู 34 และข้าพเจ้าก็เห็นแล้วและเป็นพยานว่า ท่านผู้นี้แหละเป็นบุตรของอัลลอฮฺ*

*บัพติศมาด้วยน้ำคือพิธีจุ่มน้ำเพื่อแสดงให้เห็นการกลับใจ

**บุตรของอัลลอฮฺเป็นหนึ่งในชื่อของอัล-มะซีฮฺ

สาวกพวกแรกของอีซา

         35 รุ่งขึ้นนบียะหฺยายืนอยู่ที่นั่นอีกกับศิษย์ของท่านสองคน  36 ท่านมองดูอีซาขณะที่อีซาเดินผ่านไปและท่านกล่าวว่า ดูซิ นี่คือแกะหนุ่มของอัลลอฮฺ 37 ศิษย์สองคนนั้นได้ยินท่านพูดอย่างนี้ก็ติดตามอีซาไป 38 อีซาเหลียวมาดูและเห็นเขาทั้งสองตามท่านมา จึงถามเขาว่า พวกท่านหาอะไร? เขาทั้งสองตอบท่านว่า รับบี (ซึ่งแปลว่าท่านอาจารย์) ท่านพักอยู่ที่ไหน?  39 ท่านตอบพวกเขาว่า มาดูเถิด เขาก็ไปยังที่อยู่ของท่าน และวันนั้นก็พักอยู่กับท่านเพราะขณะนั้นประมาณสี่โมงเย็นแล้ว 40 คนหนึ่งในสองคนนั้นที่ได้ยินนบียะหฺยาพูดและติดตามอีซาไปคืออันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตร 41 แล้วอันดรูว์ก็ไปหาซีโมนพี่ชายของตนก่อนและบอกเขาว่า เราพบอัล-มะซีฮฺ (​ซึ่งแปลว่า ผู้ได้รับการทรงเจิม)* แล้ว 42 อันดรูว์จึงพาซีโมนไปเฝ้าอีซา เมื่ออีซาเห็นเขาแล้วก็กล่าวว่า ท่านคือซีโมนบุตรยะหฺยา คนจะเรียกท่านว่าเคฟาส (ซึ่งแปลว่าเปโตร)

อีซาเรียกฟีลิปและนาธานาเอล

         43 รุ่งขึ้นอีซาตั้งใจจะไปยังแคว้นกาลิลี ท่านพบฟีลิปจึงกล่าวกับเขาว่า จงตามเรามา 44 ฟีลิปมาจากเบธไซดาเมืองของอันดรูว์และเปโตร 45 ฟีลิปไปหานาธานาเอล และบอกเขาว่า เราพบคนที่นบีมูซากล่าวถึงในคัมภีร์เตารอฮฺและคนที่พวกนบีกล่าวถึงคืออีซาชาวนาซาเร็ธบุตรยูสุฟ 46 นาธานาเอลถามเขาว่า สิ่งดีๆ จะมาจากนาซาเร็ธได้หรือ? ฟีลิปตอบว่า มาดูเถอะ 47 เมื่ออีซาเห็นนาธานาเอลมาหาท่านจึงกล่าวเกี่ยวกับตัวเขาว่า นี่แหละ ผู้ที่สืบเชื้อสายของนบียะอฺกูบแท้ ในตัวเขาไม่มีอุบาย 48 นาธานาเอลตอบท่านว่า ท่านรู้จักข้าพเจ้าได้อย่างไร? อีซาตอบเขาว่า เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อก่อนที่ฟีลิปจะเรียกท่าน 49 นาธานาเอลตอบท่านว่า รับบีท่านเป็นปุตรของอัลลอฮฺ ท่านเป็นกษัตริย์ของพงศ์พันธุ์นบียะอฺกูบ 50 อีซาตอบเขาว่า เพราะเราบอกท่านว่าเราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อท่านจึงศรัทธาหรือ? ท่านจะเห็นเหตุการณ์ใหญ่กว่านั้นอีก 51 แล้วอีซาจึงกล่าวอีกว่า เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ท่านจะเห็นท้องฟ้าแหวกออกและเหล่ามะลาอิกะฮฺของอัลลอฮฺขึ้นลงอยู่เหนือเราผู้เป็นบุตรมนุษย์

*อัลมะซีฮฺคือผู้ที่อัลลอฮฺทรงเจิมตั้งให้เป็นกษัตริย์ 

 

ยะหฺยา 2

งานสมรสที่หมู่บ้านคานา

         1 วันที่สามมีงานสมรสที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี มารดาของอีซาก็อยู่ที่นั่น 2 อีซาและสาวกของท่านได้รับเชิญไปในงานนั้นด้วย 3 เมื่อน้ำองุ่นหมักหมดแล้ว มารดาของอีซาพูดกับท่านว่า เขาไม่มีน้ำองุ่นหมักแล้ว 4 อีซาตอบนางว่า หญิงเอ๋ย ไม่ใช่ธุระของท่าน เวลาของเรายังมาไม่ถึง 5 มารดาของท่านจึงบอกพวกคนใช้ว่า จงทำตามที่ท่านสั่งเจ้าเถิด 6 มีโอ่งหินตั้งอยู่ที่นั่นหกใบเพื่อชำระล้างร่างกายตามธรรมเนียมของพวกยาฮูดี จุน้ำโอ่งละประมาณหนึ่งร้อยลิตร 7 อีซาสั่งพวกคนใช้ว่า จงตักน้ำใส่โอ่งให้เต็มเถิด แล้วพวกเขาก็ตักน้ำจนเต็มโอ่งเสมอปาก 8 แล้วท่านสั่งพวกเขาว่า จงตักเอาไปให้เจ้าภาพเถิด เขาก็เอาไปให้ 9 เมื่อเจ้าภาพชิมน้ำที่กลายเป็นน้ำองุ่นหมักแล้ว และไม่รู้ว่ามาจากไหน (แต่คนใช้ที่ตักน้ำนั้นรู้) เจ้าภาพจึงเรียกเจ้าบ่าวมา 10 และพูดกับเขาว่า ใครๆ เขาก็เอาน้ำองุ่นหมักอย่างดีมาให้ก่อน เมื่อดื่มกันมากแล้วจึงเอาที่ไม่ค่อยดีมา แต่ท่านเก็บน้ำองุ่นหมักอย่างดีไว้จนถึงเดี๋ยวนี้

11 สัญญาณครั้งแรกนี้อีซาทำที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลีและได้สำแดงสง่าราศีของท่าน พวกสาวกของท่านก็ศรัทธาในท่าน

         12 ภายหลังเหตุการณ์นี้ อีซาไปยังเมืองคาเปอรนาอุมพร้อมกับมารดาและบรรดาน้องชายและพวกสาวกของท่าน และพักอยู่ที่นั่นเพียงไม่กี่วัน

การชำระพระวิหาร

         13 เทศกาลปัสกาของพวกยาฮูดีใกล้เข้ามาแล้ว อีซาขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 14 ท่านเห็นคนขายวัว ขายแกะ ขายนกพิราบ และคนรับแลกเงินนั่งอยู่ตามบริเวณพระวิหาร 15 ท่านจึงเอาเชือกทำเป็นแส้ไล่คนเหล่านั้นพร้อมกับแกะและวัวออกไปจากบริเวณพระวิหาร เทเงินทิ้ง และคว่ำโต๊ะของบรรดาคนรับแลกเงิน 16 แล้วกล่าวกับพวกคนขายนกพิราบว่า เอาของพวกนี้ออกไป อย่าทำให้สถานที่อันบริสุทธิ์ของพระบิดาเรากลายเป็นตลาด 17 พวกสาวกของท่านก็ระลึกขึ้นได้ถึงคำที่เขียนไว้ว่า ความร้อนใจในเรื่องสถานที่อันบริสุทธิ์ของพระองค์จะท่วมท้นข้าพระองค์ 18 พวกยาฮูดีจึงพูดกับท่านว่า ท่านจะสำแดงสัญญาณอะไรให้เราเห็นว่า ท่านมีสิทธิ์ทำการเช่นนี้ได้?

19 อีซาจึงตอบพวกเขาว่า ถ้าทำลายวิหารนี้ เราจะสร้างขึ้นภายในสามวัน 20 พวกยาฮูดีจึงพูดว่า วิหารนี้เขาได้ใช้เวลาก่อสร้างถึงสี่สิบหกปีแล้ว และท่านจะสร้างขึ้นใหม่ภายในสามวันหรือ? 21 แต่วิหารที่ท่านกล่าวถึงนั้นคือร่างกายของท่าน 22 เพราะฉะนั้นเมื่ออัลลอฮฺทรงให้ท่านฟื้นขึ้นจากความตายแล้ว พวกสาวกของท่านก็ระลึกได้ว่าท่านกล่าวอย่างนี้ และพวกเขาก็ศรัทธาในคัมภีร์บริสุทธิ์และถ้อยคำที่อีซากล่าวนั้น

อีซารู้จักมนุษย์ทุกคน

         23 ขณะที่ท่านอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกานั้น มีคนจำนวนมากศรัทธาในนามของท่าน เพราะ พวกเขาเห็นสัญญาณที่ท่านได้ทำ 24 แต่ส่วนอีซาเอง ไม่ได้วางใจคนเหล่านั้น 25 เพราะท่านรู้จักมนุษย์ทุกคน และท่านไม่จำเป็นที่จะต้องมีใครมาเป็นพยานเรื่องมนุษย์ เพราะท่านเองทราบว่าอะไรอยู่ในตัวมนุษย์

ยะหฺยา 3

อีซากับนิโคเดมัส

         1 มีชายคนหนึ่งในพวกฟาริสีชื่อนิโคเดมัส เป็นขุนนางของพวกยาฮูดี 2 คนนี้มาหาอีซาตอนกลางคืน กล่าวกับท่านว่า ท่านอาจารย์ เราทราบว่า ท่านเป็นครูที่มาจากอัลลอฮฺ เพราะไม่มีใครสำแดงสัญญาณที่ท่านทำนั้นได้ นอกจากอัลลอฮฺทรงอยู่กับเขา 3 อีซาตอบเขาว่า เราบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าคนใดไม่ได้เกิดใหม่ คนนั้นไม่สามารถได้รับส่วนในการปกครองของอัลลอฮฺได้ 4 นิโคเดมัสตอบท่านว่า คนชราจะเกิดใหม่ได้อย่างไร? จะเข้าไปในท้องของแม่ครั้งที่สองแล้วเกิดใหม่ได้หรือ? 5 อีซากล่าวว่า เราบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าใครไม่ได้เกิดจากน้ำ และรุฮุลลอฮ์ คนนั้นจะเข้าอยู่ในการปกครองของอัลลอฮฺไม่ได้ 6 มนุษย์ให้กำเนิดชีวิตได้ก็แต่เพียงทางร่างกายมนุษย์ แต่รุฮุลลอฮ์ให้กำเนิดและมีชีวิตได้ทางจิตวิญญาณ 7 อย่าประหลาดใจที่เราบอกท่านว่า พวกท่านต้องเกิดใหม่ 8 ลมจะพัดไปที่ไหนก็พัดไปที่นั่น และท่านได้ยินเสียงลมนั้น แต่ไม่รู้ว่าลมมาจากไหน และไปที่ไหน คนที่เกิดจาก รุฮุลลอฮ์ ก็เป็นอย่างนั้นทุกคน 9 นิโคเดมัสถามท่านว่า  เหตุการณ์อย่างนี้จะเป็นไปได้อย่างไร? 10 อีซากล่าวตอบเขาว่า ท่านเป็นถึงอาจารย์ของพงศ์พันธุ์นบียะอฺกูบ ท่านไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้เลยหรือ? 11 เราบอกความจริงกับท่านว่า เราพูดสิ่งที่เรารู้ และบอกท่านถึงสิ่งที่เราเห็น แต่พวกท่านไม่ยอมรับสิ่งที่เราบอกนั้น 12 ถ้าเราบอกพวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ทางฝ่ายโลกดุนยาและพวกท่านไม่ศรัทธา แล้วท่านจะศรัทธาได้อย่างไรถ้าเราบอกท่านถึงสิ่งต่างๆ ทางฝ่ายสรวงสวรรค์ 13 ไม่มีใครเคยขึ้นไปยังสรวงสวรรค์นอกจากผู้ที่ลงมาจากสรวงสวรรค์ คือเรา ผู้เป็นบุตรมนุษย์ 14 นบีมูซายกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารอย่างไร บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้นอย่างนั้น 15 เพื่อทุกคนที่ศรัทธาในบุตรมนุษย์นั้นจะได้ชีวิตนิรันดร์

         16 เพราะว่าอัลลอฮฺทรงรักโลกดุนยามาก จนถึงขนาดประทานบุตรผู้เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่ศรัทธาในท่านนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ 17 เพราะว่าอัลลอฮฺทรงให้บุตรของพระองค์เข้ามาในโลกดุนยา ไม่ใช่เพื่อพิพากษา แต่เพื่อช่วยให้รอดโดยท่านนั้น 18 คนที่ศรัทธาในบุตรของอัลลอฮฺจะไม่ถูกพิพากษา ส่วนคนที่ไม่ได้ศรัทธาก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้ศรัทธาในนามของบุตรผู้เดียวของ อัลลอฮฺ  19 หลักการพิพากษามีอย่างนี้ คือความสว่างเข้ามาในโลกดุนยาแล้ว แต่มนุษย์รักความมืดมากกว่าความสว่าง เพราะกิจการของพวกเขาเลวทราม 20 เพราะทุกคนที่ประพฤติชั่วก็เกลียดความสว่าง และไม่มาหาความสว่าง เนื่องจากกลัวว่าการกระทำของตนจะปรากฏ 21 แต่คนที่ประพฤติตามสัจธรรม ก็มาถึงความสว่าง เพื่อให้เห็นว่า การกระทำของเขานั้นทำโดยพึ่งอัลลอฮฺ

อีซาและนบียะหฺยา

         22 หลังจากนั้น อีซาเข้าไปในแคว้นยูเดียกับพวกสาวกของท่าน และอยู่ที่นั่นกับพวกเขา และได้ให้บัพติศมา 23 นบียะหฺยาก็ให้บัพติศมาอยู่ที่อายโนนใกล้หมู่บ้านสาลิม เพราะที่นั่นมีน้ำมาก และคนทั้งหลาย ก็พากันมารับบัพติศมา  24 เพราะนบียะหฺยายังไม่ถูกขังในคุก

         25 แต่เกิดการโต้เถียงกันขึ้นระหว่างพวกศิษย์ของนบียะหฺยาและคนหนึ่งในพวกยาฮูดีเรื่องการชำระมลทิน 26 พวกเขาจึงไปหานบียะหฺยาบอกว่า อาจารย์ คนที่อยู่กับอาจารย์ที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น คนที่อาจารย์พูดถึงนั้น นี่แน่ะ คนนี้กำลังให้บัพติศมา และทุกคนก็พากันไปหาเขา 27 นบียะหฺยาตอบว่า ไม่มีใครสามารถรับสิ่งใดได้นอกจากสิ่งที่อัลลอฮฺประทานให้เขาจากสรวงสวรรค์ 28 พวกท่านเองก็เป็นพยานได้ว่า ข้าพเจ้าพูดว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นอัล-มะซีฮฺ แต่ข้าพเจ้าได้รับคำบัญชาให้นำทางแก่ท่าน 29 ท่านที่มีเจ้าสาวนั่นแหละ คือเจ้าบ่าว ส่วนเพื่อนเจ้าบ่าวที่ยืนฟัง ก็ปลาบปลื้มเมื่อได้ยินเสียงของเจ้าบ่าว ความปลื้มปีติอย่างล้นเหลือเช่นนี้แหละ ที่ข้าพเจ้ากำลังมีอยู่เดี๋ยวนี้ 30 อีซาต้องยิ่งใหญ่ขึ้น ส่วนข้าพเจ้าเองต้องด้อยลง

ผู้ที่มาจากสรวงสวรรค์

         31 ท่านผู้ที่มาจากเบื้องบนเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง ผู้ที่มาจากโลกดุนยา ก็ย่อมเป็นของโลกดุนยา และพูดแต่สิ่งที่เกี่ยวกับโลกดุนยา ท่านผู้มาจากสรวงสวรรค์เป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง 32 ท่านเล่าถึงสิ่งที่ท่านได้เห็นและได้ยิน แต่ไม่มีใครยอมรับคำกล่าวของท่าน 33 ส่วนคนที่ยอมรับคำกล่าวของท่าน ก็แสดงว่าเขารับรองว่า อัลลอฮฺทรงสัตย์จริง 34 เพราะ ท่านผู้ที่อัลลอฮฺทรงส่งมานั้น ก็กล่าวพระดำรัสของอัลลอฮฺ เพราะอัลลอฮฺประทานรุฮุลลอฮ์แก่ท่านอย่างเต็มที่ไม่จำกัดเลย 35 พระบิดาทรงรัก​บุตรของพระองค์*และทรงมอบทุกสิ่งไว้ในมือของท่าน 36 คนที่ศรัทธาในบุตรนั้นก็มีชีวิตนิรันดร์ แต่คนที่ไม่เชื่อฟัง​บุตรนั้นก็จะไม่ได้เห็นชีวิต และพระพิโรธของอัลลอฮฺตกอยู่กับเขา

*บุตรของอัลลอฮฺเป็นหนึ่งในชื่อของอัล-มะซีฮฺ

 

ยะหฺยา 4

อีซากับหญิงชาวสะมาเรีย

         1 เมื่ออีซาทราบว่าพวกฟาริสีได้ยินข่าวว่า ท่านมีสาวก และให้บัพติศมามากกว่านบียะหฺยา 2 (ความจริงอีซาไม่ได้ให้บัพติศมาเอง แต่สาวกของท่านเป็นผู้ให้) 3 ท่านจึงออกจากแคว้นยูเดียกลับไปที่แคว้นกาลิลีอีก 4 ซึ่งจะต้องผ่านแคว้นสะมาเรีย 5 จึงผ่านเมืองหนึ่งชื่อสิคาร์ในแคว้นสะมาเรียซึ่งอยู่ใกล้ที่ดินที่นบียะอฺกูบให้กับนบียูสุฟบุตรของตน 6 บ่อน้ำของนบียะอฺกูบก็อยู่ที่นั่น อีซาเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย จึงนั่งลงที่ข้างบ่อนั้น เวลานั้นเป็นเวลาประมาณเที่ยง

         7 มีหญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำ อีซากล่าวกับนางว่า ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง 8 (ขณะนั้นอีซาอยู่คนเดียว พวกสาวกของท่านเข้าไปซื้ออาหารในเมือง)

9 หญิงชาวสะมาเรียตอบท่านว่า ทำไมท่านซึ่งเป็นยาฮูดีจึงมาขอน้ำดื่มจากดิฉันซึ่งเป็นหญิงชาวสะมาเรีย? (เพราะพวกยาฮูดีไม่คบหาพวกสะมาเรียเลย) 10 อีซาตอบนางว่า ถ้าเธอรู้จักของที่อัลลอฮฺประทาน และรู้จักผู้ที่พูดกับเธอว่า ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง ก็คงจะขอจากท่านผู้นั้นและผู้นั้นก็คงจะให้น้ำดำรงชีวิตแก่เธอ 11 นางตอบท่านว่า ท่านเจ้าคะ ท่านไม่มีถังตักและบ่อนี้ก็ลึก ท่านจะเอาน้ำดำรงชีวิตนั้นมาจากไหน? 12 ท่านใหญ่กว่านบียะอฺกูบบรรพบุรุษของเราผู้ให้บ่อน้ำนี้แก่เราหรือ? นบียะอฺกูบเองก็ดื่มจากบ่อนี้รวมทั้งบุตรทั้งหลายและสัตว์เลี้ยงของท่านด้วย 13 อีซากล่าวว่า ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก 14 แต่คนที่ดื่มน้ำที่เราจะให้กับเขานั้นจะไม่มีวันกระหายอีกเลย น้ำที่เราจะให้เขานั้นจะกลายเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์ 15 นางตอบท่านว่า ท่านเจ้าคะ ขอน้ำนั้นให้ดิฉันเถิด เพื่อดิฉันจะได้ไม่กระหายอีกและจะได้ไม่ต้องมาตักที่นี่

         16 อีซากล่าวกับนางว่า ไปเรียกสามีของเธอมาที่นี่ 17 นางตอบท่านว่า ดิฉันไม่มีสามีค่ะ อีซากล่าวกับนางว่า เธอพูดถูกที่ว่าไม่มีสามี 18 เพราะเธอมีสามีมาถึงห้าคนแล้ว และคนที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่สามีของเธอ เรื่องนี้เธอพูดจริง 19 นางตอบท่านว่า ท่านเจ้าคะ ดิฉันเห็นจริงๆ แล้วว่าท่านเป็นนบี 20 บรรพบุรุษของเราก้มกราบที่ภูเขานี้ แต่พวกท่านบอกว่าสถานที่ก้มกราบนั้นต้องอยู่ที่เยรูซาเล็ม  21 อีซากล่าวกับนางว่า หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด คงมีสักวันหนึ่งที่พวกเธอจะไม่ได้ก้มกราบต่ออัลลอฮฺทั้งที่ภูเขานี้หรือที่เยรูซาเล็ม 22 พวกเธอชาวสะมาเรียก้มกราบอัลลอฮฺผู้ที่เธอไม่รู้จัก ขณะที่เรายาฮูดีรู้จักพระองค์ดี เพราะความรอดมาผ่านทางชาวยาฮูดี 23 แต่เวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว และขณะนี้ก็มาถึงแล้ว คือเมื่อคนที่ก้มกราบอย่างแท้จริงจะก้มกราบอัลลอฮฺด้วยรุฮุลลอฮ์และสัจธรรม เพราะว่า อัลลอฮฺทรงแสวงหาคนเช่นนั้นที่ก้มกราบต่อพระองค์ 24 เพราะว่าอัลลอฮฺทรงเป็นรุฮุลลอฮ์ และคนที่ก้มกราบพระองค์จะต้องก้มกราบด้วยรุฮุลลอฮ์ และสัจธรรม 25 นางกล่าวกับท่านว่า ดิฉันทราบว่าอัล-มะซีฮฺจะมา เมื่อท่านมา ท่านจะชี้แจงทุกสิ่งแก่เรา 26 อีซาจึงตอบกับนางว่า เราผู้ที่พูดกับเธอเป็นผู้นั้น

         27 เมื่อพวกสาวกของท่านกลับมา พวกเขาก็ ประหลาดใจที่ท่านสนทนากับผู้หญิง แต่ไม่มีใครถามว่า ท่านต้องการอะไร? หรือ ทำไมท่านถึงสนทนากับนาง? 28 ส่วนหญิงคนนั้นก็ทิ้งหม้อน้ำไว้และเข้าไปในเมืองบอกพวกชาวบ้านว่า 29 มานี่ มาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัดที่ฉันเคยทำ ท่านผู้นี้จะเป็นอัล-มะซีฮฺได้ไหม? 30 คนทั้งหลายจึงพากันออกจากเมืองไปหาท่าน

         31 ในระหว่างนั้นพวกสาวกเชิญท่านว่า อาจารย์เชิญรับประทานอาหารเถิด 32 แต่ท่านกล่าวกับพวกเขาว่า เรามีอาหารรับประทานที่พวกท่านไม่รู้ 33 พวกสาวกจึงถามกันว่า มีใครเอาอาหารมาให้ท่านแล้วหรือ? 34 อีซากล่าวกับพวกเขาว่า อาหารของเราคือการทำตามพระประสงค์ของผู้ที่ทรงส่งเรามาและทำให้งานของพระองค์สำเร็จ 35 พวกท่านบอกว่าอีกสี่เดือนจะถึงฤดูเกี่ยวข้าวแล้วไม่ใช่หรือ?  ส่วนเราบอกพวกท่านว่า เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ทุ่งนาเหลืองอร่ามและถึงเวลาเกี่ยวแล้ว 36 คนเกี่ยวกำลังได้รับค่าจ้างและกำลังรวบรวมพืชผลไว้สำหรับชีวิตนิรันดร์เพื่อทั้งคนหว่านและคนเกี่ยวจะได้ชื่นชมยินดีด้วยกัน 37 คำที่เขาพูดกันก็เป็นความจริงในเรื่องนี้ คือ คนหนึ่งหว่านและอีกคนหนึ่งเกี่ยว 38 เราส่งพวกท่านไปเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้ตรากตรำ แต่คนอื่นตรากตรำและพวกท่านเข้าร่วมในการตรากตรำของเขา

         39 ชาวสะมาเรียจำนวนมากที่มาจากเมืองนั้นก็ศรัทธาในอีซา เพราะคำพูดของหญิงคนนั้นที่ว่า ท่านเล่าถึงสิ่งสารพัดที่ฉันเคยทำ 40 ดังนั้นเมื่อชาวสะมาเรียมาถึง พวกเขาจึงเชิญท่านให้อยู่กับเขา และท่านก็อยู่ที่นั่นสองวัน 41 และจำนวนคนที่ศรัทธาในท่านก็เพิ่มขึ้นเพราะถ้อยคำของท่าน 42 พวกเขาพูดกับหญิงคนนั้นว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ที่เราศรัทธานั้นไม่ใช่เพราะคำพูดของเจ้า แต่เพราะเราได้ยินเอง และเรารู้ว่าท่านผู้นี้เป็นผู้ช่วยให้รอดที่แท้จริงของโลกดุนยา 

การรักษาบุตรชายของข้าราชการ

         43 เมื่อผ่านไปสองวัน อีซาก็ออกจากที่นั่นไปที่แคว้นกาลิลี  44 (ท่านเคยกล่าวว่า นบีจะไม่ได้รับการยกย่องในบ้านเกิดของตน) 45 ดังนั้นเมื่อท่านไปถึงแคว้นกาลิลี ชาวกาลิลี ก็ต้อนรับท่านเพราะพวกเขาเห็นทุกสิ่งที่ท่านได้ทำในเทศกาลที่กรุงเยรูซาเล็มเพราะพวกเขาก็ไปในเทศกาลนั้นด้วย

         46 ดังนั้นท่านจึงไปที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลีอีก ซึ่งเป็นที่ที่ท่านได้ทำให้น้ำกลายเป็นน้ำองุ่นหมักและที่เมืองคาเปอรนาอุมมีข้าราชการคนหนึ่งที่มีบุตรป่วยหนัก 47 เมื่อเขาทราบข่าวว่า อีซาออกจากแคว้นยูเดียไปแคว้นกาลิลีแล้ว เขาจึงไปอ้อนวอนท่านขอให้ไปรักษาบุตรของตนเพราะว่า เขาใกล้จะตายแล้ว  

48 อีซาจึงกล่าวกับเขาว่า ถ้าพวกท่านไม่เห็นสัญญาณและการอัศจรรย์ ท่านก็จะไม่ศรัทธา 49 ข้าราชการคนนั้นอ้อนวอนท่านว่า  ท่านเจ้าข้า กรุณามากับข้าพเจ้าก่อนที่ลูกน้อยของข้าพเจ้าจะตาย 50 อีซาตอบเขาว่า กลับไปเถิด ลูกของท่านจะไม่ตาย ชายคนนั้นเชื่อถ้อยคำที่อีซากล่าวกับเขาจึงกลับไป  51 ขณะที่กลับไปนั้น พวกคนรับใช้ของเขามาพบและเรียนว่า ลูกของท่านหายแล้ว 52 เขาจึงถามถึงเวลาที่บุตรมีอาการดีขึ้นและพวกคนรับใช้ก็เรียนว่า ไข้หายเมื่อวานนี้เวลาบ่ายโมง 53 บิดาจึงรู้ว่าเป็นเวลาเดียวกับที่อีซากล่าวกับตนว่า ลูกของท่านจะไม่ตาย ดังนั้นตัวเขาเอง และทุกคนในครอบครัวจึงศรัทธาในอีซา 54 นี่เป็นสัญญาณครั้งที่สองที่อีซาได้ทำเมื่อท่านออกจากแคว้นยูเดียไปแคว้นกาลิลี

ยะหฺยา 5

การรักษาโรคที่สระน้ำ

         1 หลังจากนั้นอีซาก็ขึ้นไปที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อร่วมงานเทศกาลของพวกยาฮูดี 2 ที่ริมประตูแกะในกรุงเยรูซาเล็มมีสระน้ำ ภาษาฮีบรูเรียกสระนั้นว่า เบธซาธา ที่นั่นมีศาลาห้าหลัง 3 ในศาลาเหล่านั้นมีคนป่วยจำนวนมาก มีทั้งคนตาบอด คนง่อย และคนเป็นอัมพาตนอนอยู่ 5 ที่นั่นมีชายคนหนึ่งป่วยมาสามสิบแปดปีแล้ว 6 เมื่ออีซาเห็นคนนั้นนอนอยู่ และทราบว่าเขาป่วยอยู่อย่างนั้นนานแล้ว ท่านจึงกล่าวกับเขาว่า ท่านอยากจะหายเป็นปกติหรือเปล่า? 7 คนป่วยคนนั้นตอบท่านว่า ท่านเจ้าข้า เมื่อน้ำกำลังกระเพื่อมนั้น ไม่มีใครเอาตัวข้าพเจ้าลงไปในสระ แล้วพอจะลงไปเอง คนอื่นก็ลงไปก่อนแล้ว

8 อีซากล่าวกับเขาว่า ลุกขึ้นเถิด จงยกแคร่ของท่านเดินไป 9 ทันใดนั้นเขาก็หายเป็นปกติ และยกแคร่ของเขาเดินไป

         แต่วันนั้นเป็นวันบริสุทธิ์ 10 พวกยาฮูดีจึงพูดกับชายที่อีซารักษานั้นว่า วันนี้เป็นวันบริสุทธิ์ การที่เจ้าแบกแคร่ไปนั้นผิดเตารอฮฺ 11 คนนั้นจึงตอบพวกเขาว่า คนที่รักษาข้าพเจ้าให้หายสั่งว่า จงยกแคร่ของท่านและเดินไป  12 พวกยาฮูดีถามเขาว่า คนที่สั่งเจ้าว่า จงยกแคร่และเดินไปนั้นเป็นใคร? 13 คนที่ได้รับการรักษานั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะอีซาหายไปท่ามกลางฝูงชนที่อยู่ที่นั่น  14 ภายหลังอีซาพบคนนั้นในบริเวณพระวิหารจึงกล่าวกับเขาว่า นี่แน่ะ ท่านหายโรคแล้ว อย่าทำบาปอีก เพื่อจะไม่มีเหตุเลวร้ายกว่านั้นเกิดกับท่าน 15 ชายคนนั้นก็ออกไปบอกพวกยาฮูดีว่า คนที่ทำให้ข้าพเจ้าหายนั้นคืออีซา 16 เพราะเหตุนี้พวกยาฮูดีจึงเริ่มต้นข่มเหงอีซา เพราะท่านทำสิ่งเหล่านี้ในวันบริสุทธิ์ 17 แต่อีซาตอบพวกเขาว่า พระบิดาของเรายังทรงทำงานอยู่เสมอ และเราก็ทำด้วย 18 ซึ่งทำให้พวกยาฮูดียิ่งหาโอกาสที่จะฆ่าท่าน ไม่ใช่เพราะท่านฝ่าฝืนกฎวันบริสุทธิ์เท่านั้น แต่ยังเรียกอัลลอฮฺเป็นบิดาด้วย ซึ่งเป็นการทำตัวเสมออัลลอฮฺ

สิทธิอำนาจของอัล-มะซีฮฺ

         19 อีซากล่าวกับพวกเขาว่า เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า *บุตรของอัลลอฮฺจะทำสิ่งใดตามใจไม่ได้นอกจากที่ได้เห็นพระบิดาทำ เพราะสิ่งใดที่พระบิดาทำ สิ่งนั้นบุตรก็จะทำเหมือนกัน

*(บุตรของอัลลอฮฺเป็นหนึ่งในชื่อของอัล-มะซีฮฺ)

20 เพราะว่าพระบิดาทรงรักบุตรของพระองค์ และทรงสำแดงให้บุตรเห็นทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำและพระองค์จะทรงสำแดงให้บุตรเห็นการที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีกที่พวกท่านจะประหลาดใจ 21 เพราะพระบิดาทรงทำให้คนที่ตายแล้วฟื้นขึ้นจากความตาย และประทานชีวิตให้อย่างไร บุตรของพระองค์ก็จะให้ชีวิตแก่คนที่ท่านปรารถนาจะให้อย่างนั้น 22 เพราะว่าพระบิดาไม่ทรงพิพากษาใครแต่ทรงมอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับบุตรของพระองค์ 23 เพื่อทุกคนจะได้ยกย่องบุตรนั้น เหมือนที่พวกเขายกย่องพระบิดาคนไหนไม่ยกย่องบุตรนั้นคนนั้นก็ไม่ยกย่องพระบิดาผู้ทรงส่งท่านนั้นมา 24 เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าใครฟังคำของเราและศรัทธาผู้ทรงส่งเรามา คนนั้นก็มีชีวิตนิรันดร์และไม่ถูกพิพากษา แต่ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว

         25 เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า เวลากำหนดนั้นใกล้จะถึงแล้วและบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อคนตายจะได้ยินเสียงบุตรของอัลลอฮฺ และบรรดาคนที่ได้ยินจะมีชีวิต 26 เพราะว่าพระบิดาทรงมีชีวิตในพระองค์เองอย่างไร พระองค์ก็ทรงให้บุตรของพระองค์มีชีวิตในท่านเองอย่างนั้น  27 และทรงให้บุตรนั้นมีสิทธิที่จะทำการพิพากษา เพราะท่านเป็นบุตรมนุษย์ 28 อย่าประหลาดใจในข้อนี้เลย เพราะใกล้จะถึงเวลาที่ทุกคนที่อยู่ในกุโบรจะได้ยินเสียงของท่าน 29 และจะก้าวออกมา คนที่ประพฤติดีก็ฟื้นขึ้นสู่ชีวิต คนที่ประพฤติชั่วก็ฟื้นขึ้นสู่การพิพากษา

บรรดาพยานของอีซา

         30 เราจะทำสิ่งใดตามใจไม่ได้ เราได้ยินอย่างไรเราก็พิพากษาอย่างนั้น และการพิพากษาของเราก็ยุติธรรม เพราะเราไม่ได้มุ่งที่จะทำตามใจของเราเอง แต่ตามพระประสงค์ของผู้ทรงส่งเรามา 31 ถ้าเราเป็นพยานให้แก่ตัวเราเอง คำพยานของเราก็ไม่จริง   32 แต่ยังมีอีกผู้หนึ่งที่เป็นพยานให้แก่เรา และเรารู้ว่าคำพยานที่พระองค์ทรงให้แก่เรานั้นเป็นความจริง

33 พวกท่านส่งคนไปหานบียะหฺยาและนบียะหฺยาก็เป็นพยานถึงความจริง 34 เราไม่ต้องให้มนุษย์มาเป็นพยานให้ แต่การที่เราพูดถึงเรื่องนี้ก็เพื่อให้พวกท่านศรัทธาและรอด 35 นบียะหฺยาเป็นตะเกียงที่จุดสว่างไสวและพวกท่านก็ชื่นชมในความสว่างของนบียะหฺยาอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง 36 แต่คำพยานที่เรามีนั้น ยิ่งใหญ่กว่าคำพยานของนบียะหฺยาเพราะว่า งานที่พระบิดาทรงมอบให้เราทำให้สำเร็จ และเป็นงานที่เรากำลังทำอยู่นั้นเป็นพยานให้กับเราว่าพระบิดาทรงส่งเรามา 37 และพระบิดาผู้ทรงส่งเรามาก็ทรงเป็นพยานให้กับเราด้วย พวกท่านไม่เคยได้ยินเสียงของพระองค์ และไม่เคยเห็นรูปร่างของพระองค์ 38 และท่านไม่มีพระดำรัสของพระองค์อยู่ในตัวท่าน เพราะว่าพวกท่านไม่ได้ศรัทธาผู้ที่พระบิดาทรงส่งมานั้น 39 พวกท่านค้นดูในคัมภีร์บริสุทธิ์เพราะท่านคิดว่าในนั้นมีชีวิตนิรันดร์แต่คัมภีร์บริสุทธิ์นั้นเองได้เป็นพยานให้กับเรา 40 แต่พวกท่านก็ ยังไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้ชีวิต 41 เราไม่ยอมรับเกียรติจากมนุษย์ 42 แต่เรารู้ว่าพวกท่านไม่มีความรักของอัลลอฮฺในตัวท่าน 43 เรามาในพระนามพระบิดาของเราและพวกท่านไม่ยอมรับเรา ถ้าคนอื่นมาในนามของเขาเองพวกท่านก็จะรับคนนั้น   44 พวกท่านจะศรัทธาได้อย่างไรในเมื่อท่านรับเกียรติจากกันและกันเอง และไม่ได้แสวงหาเกียรติที่มาจากพระองค์คืออัลลอฮฺผู้ทรงเอกะ? 45 อย่าคิดว่าเราจะฟ้องพวกท่านต่อพระบิดา มีคนฟ้องท่านแล้วคือนบีมูซา ผู้ที่พวกท่านตั้งความหวัง 46 ถ้าท่านทั้งหลายเชื่อนบีมูซา ท่านก็น่าจะเชื่อเรา เพราะนบีมูซาเขียนถึงเรา 47 แต่ถ้าพวกท่านไม่เชื่อเรื่องที่นบีมูซาเขียนแล้ว ท่านจะเชื่อถ้อยคำของเราได้อย่างไร?__

 

ยะหฺยา 6

การเลี้ยงคนห้าพันคน

         1 หลังจากนั้นอีซาได้ข้ามไปอีกฟากหนึ่งของทะเลสาบกาลิลีหรือที่เรียกว่าทะเลทิเบเรียส 2 มหาชนก็ ตามท่านไป เพราะพวกเขาเห็นสัญญาณต่างๆ ที่ท่านทำต่อบรรดาคนป่วย 3 อีซาขึ้นไปบนภูเขาและอยู่กับพวกสาวกของท่าน 4 ขณะนั้นใกล้จะถึงปัสกา ซึ่งเป็นเทศกาลของพวกยาฮูดี 5 อีซาเงยหน้าขึ้นและเห็นมหาชนพากันมาหาท่าน ท่านจึงกล่าวกับฟีลิปว่า พวกเราจะซื้ออาหารให้คนเหล่านี้กินได้ที่ไหน? 6 ท่านกล่าวอย่างนั้นเพื่อจะทดสอบฟีลิป เพราะท่านทราบอยู่แล้วว่า ท่านจะทำอย่างไร 7 ฟีลิปตอบท่านว่า สองร้อยเหรียญเงินก็ยังไม่พอซื้ออาหารให้พวกเขากินกันคนละเล็กละน้อย 8 สาวกคนหนึ่งของท่านคืออันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตร กล่าวกับท่านว่า 9 ที่นี่มีเด็กชายคนหนึ่งมีขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาสองตัว แต่เท่านั้นจะพออะไรกับคนมากอย่างนี้? 10 อีซากล่าวว่า ให้ทุกคนนั่งลงเถิด (ที่นั่นมีหญ้ามาก) คนเหล่านั้นจึงนั่งลง นับเฉพาะผู้ชายได้ประมาณห้าพันคน 11 แล้วอีซาก็หยิบขนมปัง เมื่อขอชุโกธต่ออัลลอฮฺแล้วก็แจกจ่ายให้บรรดาคนที่นั่งอยู่นั้น และให้ปลาด้วยตามที่เขาต้องการ 12 เมื่อพวกเขากินอิ่มแล้ว อีซากล่าวกับพวกสาวกของท่านว่า จงเก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ อย่าให้มีสิ่งใดตกหล่น 13 พวกเขาจึงเก็บเศษขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนที่เหลือหลังจากทุกคนกินแล้วใส่กระบุงได้สิบสองกระบุงเต็ม 14 เมื่อคนทั้งหลายเห็นสัญญาณที่ท่านทำ พวกเขาจึงพูดกันว่า แท้จริงท่านผู้นี้เป็นนบีคนนั้นที่จะมาในโลกดุนยา

         15 เมื่ออีซาทราบว่าพวกเขาจะมาจับท่านไปตั้งให้เป็นกษัตริย์ ท่านก็หลบขึ้นไปบนภูเขาตามลำพัง

อีซาเดินบนน้ำ

         16 พอค่ำลงพวกสาวกของท่านก็ไปที่ทะเลสาบ 17 แล้วลงเรือข้ามฟากไปยังคาเปอรนาอุม ขณะนั้น 41 มืดแล้วและอีซาก็ยังไม่ไปหาพวกเขา 18 หลังจากนั้นไม่นานได้เกิดพายุขึ้น ทำให้คลื่นในทะเลสาบปั่นป่วนรุนแรงมาก 19 เมื่อพวกเขาตีกรรเชียงไปได้ประมาณห้าหกกิโลเมตรก็เห็นอีซาเดินมาบนทะเล กำลังเข้ามาใกล้เรือ พวกเขาต่างตกใจกลัว 20 แต่ท่านกล่าวกับเขาว่า นี่เราเอง อย่ากลัวเลย 21 พวกเขาก็ดีใจและรับท่านขึ้นเรือ ทันใดนั้นเรือก็ถึงฝั่งที่เขาจะไป

อีซาคืออาหารแห่งชีวิต

         22 วันรุ่งขึ้นฝูงชนที่เหลืออยู่ฝั่งตรงข้ามต่างเห็นว่า ก่อนนั้นมีเรืออยู่ที่นั่นเพียงลำเดียว และเห็นว่าอีซาไม่ได้ลงเรือลำนั้นไปกับพวกสาวก พวกสาวกของท่านไปกันตามลำพังเท่านั้น 23 เวลานั้นมีเรือลำอื่นๆ มาจากทิเบเรียสผ่านมาใกล้ตำบลที่พวกเขาได้กินขนมปัง คือหลังจากที่ท่านผู้เป็นเจ้านายได้ขอชุโกธต่ออัลลอฮฺแล้ว 24 เมื่อฝูงชนเห็นว่า อีซาและพวกสาวกไม่ได้อยู่ที่นั่น พวกเขาจึงลงเรือไปตามหาท่านที่เมืองคาเปอรนาอุม

         25 เมื่อพวกเขาพบท่านที่อีกฝั่งหนึ่งของทะเลสาบแล้ว เขากล่าวกับท่านว่า ท่านอาจารย์ ท่านมาที่นี่เมื่อไหร่? 26 อีซาตอบเขาว่า เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ท่านตามหาเราไม่ใช่เพราะเห็นสัญญาณ แต่เพราะได้กินขนมปังอิ่ม 27 อย่าทำงานเพื่อแสวงหาอาหารที่เสื่อมสูญได้ แต่จงแสวงหาอาหารที่คงทนอยู่จนถึงชีวิตนิรันดร์ ซึ่งบุตรมนุษย์จะมอบให้กับพวกท่าน เพราะอัลลอฮฺ ผู้ทรงเป็นพระบิดาทรงรับรองท่านผู้นี้แล้ว

28 พวกเขาจึงตอบท่านว่า เราจะต้องทำอะไรบ้างถึงจะทำงานของอัลลอฮฺได้? 29 อีซาตอบเขาว่า งานของ อัลลอฮฺคือการศรัทธาในผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา 30 พวกเขาจึงกล่าวกับท่านว่า ถ้าอย่างนั้นท่านจะให้สัญญาณอะไรเพื่อที่เราจะเห็นและศรัทธาในท่าน? ท่านจะทำอะไร? 31 บรรพบุรุษของเราได้กินมานาในถิ่นทุรกัน ดารตามที่มีคำเขียนไว้ว่า ท่านให้พวกเขากินอาหารจากสรวงสวรรค์  32 อีซาจึงกล่าวกับเขาว่า เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ไม่ใช่นบีมูซาที่ให้อาหารจากสรวงสวรรค์นั้นแก่ท่าน แต่พระบิดาของเราเป็นผู้ประทานอาหารแท้ที่มาจากสรวงสวรรค์ให้กับพวกท่าน 33 เพราะว่าอาหารของอัลลอฮฺนั้นคือท่านที่ลงมาจากสรวงสวรรค์ และประทานชีวิตให้กับโลกดุนยา

34 พวกเขาจึงตอบท่านว่า ท่านเจ้าข้า ขอโปรดให้อาหารนั้นแก่เราตลอดไปเถิด

         35 อีซากล่าวกับพวกเขาว่า เราเป็นอาหารแห่งชีวิต คนที่มาหาเราจะไม่หิว และคนที่ศรัทธาในเราจะไม่กระหายอีกเลย 36 แต่เราก็บอกพวกท่านแล้วว่า ท่านเห็นเราแล้วแต่ไม่ศรัทธา 37 ทุกคนที่พระบิดาประทานแก่เราจะมาหาเรา และคนที่มาหาเรา เราจะไม่ขับไล่เขาเลย 38 เพราะว่า เราลงมาจากสรวงสวรรค์ ไม่ใช่เพื่อทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่เพื่อทำตามพระประสงค์ของผู้ทรงส่งเรามา 39 และพระประสงค์ของผู้ทรงส่งเรามานั้นก็คือให้เรารักษาทุกคนที่พระองค์ทรงมอบไว้กับเราไม่ให้หายไปสักคนเดียว แต่ทำให้ฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย 40 เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ที่จะให้ทุกคนที่เห็นบุตรของพระองค์ และศรัทธาในท่านมีชีวิตนิรันดร์ และเราเองจะให้คนนั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย

         41 พวกยาฮูดีจึงซุบซิบกันเรื่องท่าน เพราะท่านกล่าวว่า เราเป็นอาหารซึ่งลงมาจากสรวงสวรรค์ 42 พวกเขาพูดกันว่า คนนี้คืออีซาลูกของยูสุฟไม่ใช่หรือ? พ่อแม่ของเขาเราก็รู้จักแล้ว เดี๋ยวนี้เขาพูดได้อย่างไรว่า เราลงมาจากสรวงสวรรค์? 43 อีซาตอบพวกเขาว่า อย่าซุบซิบกันเลย 44 ไมมีใครมาหาเราได้นอกจากพระบิดาผู้ทรงส่งเรามาจะทรงชักนำให้เขามา และเราจะให้คนนั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย 45 มีคำเขียนไว้ในคัมภีร์ของนบีท่านหนึ่งว่า อัลลอฮฺจะทรงสั่งสอนพวกเขาทุกคน ทุกคนที่ได้ยินได้ฟังและได้เรียนรู้จากพระบิดาก็ มาถึงเรา 46 ไม่มีใครได้เห็นพระบิดานอกจากท่านที่มาจากอัลลอฮฺ ท่านนั้นแหละได้เห็นพระบิดาแล้ว 47 เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า คนที่ศรัทธาก็มีชีวิตนิรันดร์ 48 เราเป็นอาหารแห่งชีวิต 49 บรรพบุรุษของพวกท่านได้กินมานาในถิ่นทุรกันดารแล้ว ก็ยังเสียชีวิต 50 แต่นี่เป็นอาหารที่ลงมาจากสรวงสวรรค์เพื่อให้คนที่ได้กินแล้วไม่ตาย 51 เราเป็นอาหารดำรงชีวิตซึ่งลงมาจากสรวงสวรรค์ ถ้าใครกินอาหารนี้ คนนั้นจะมีชีวิตนิรันดร์ และอาหารที่เราจะให้เพื่อคนในโลกดุนยานี้จะได้มีชีวิตนั้น ก็คือเลือดเนื้อของเรา

         52 แล้วพวกยาฮูดีก็ทุ่มเถียงกันว่า คนนี้จะเอาเนื้อของเขาให้เรากินได้อย่างไร? 53 อีซาจึงกล่าวกับพวกเขาว่า เราบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าท่านไม่ได้กินเนื้อและไม่ได้ดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ ก็จะไม่มีชีวิตในตัวท่าน  54 คนที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราจะมีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้คนนั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย 55 เพราะว่าเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราก็เป็นเครื่องดื่มแท้ 56 คนที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา คนนั้นก็อยู่ในเราและเราอยู่ในเขา 57 พระบิดาผู้ทรงพระชนม์อยู่ทรงส่งเรามา และเรามีชีวิตเพราะพระบิดาอย่างไร คนที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราก็จะมีชีวิตเพราะเราอย่างนั้น 58 นี่แหละเป็นอาหารที่ลงมาจากสรวงสวรรค์ ไม่เหมือนอาหารที่พวกบรรพบุรุษกินและเสียชีวิต คนที่กินอาหารนี้จะมีชีวิตนิรันดร์ 59 ถ้อยคำเหล่านี้ ท่านกล่าวในธรรมศาลา ขณะที่ท่านสั่งสอนอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม

ถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์

         60 เมื่อพวกสาวกของท่านหลายคนได้ยินอย่างนั้น ก็พูดว่า คำสอนเรื่องนี้ยากนัก ใครจะรับได้? 61 และเมื่ออีซาทราบว่า พวกสาวกของท่านซุบซิบกันถึงเรื่องนั้น จึงกล่าวกับเขาว่า เรื่องนี้ทำให้พวกท่านสะดุดหรือ? 62 ถ้าพวกท่านเห็นบุตรมนุษย์ขึ้นไปยังที่ที่ท่านอยู่แต่ก่อนนั้น จะว่าอย่างไร? 63 รุฮุลลอฮ์ทรงเป็นผู้ให้ชีวิต เนื้อหนังของมนุษย์ทำไม่ได้ ถ้อยคำที่เรากล่าวกับพวกท่านนี่แหละมาจากรุฮุลลอฮ์และเป็นชีวิต 64 แต่ในพวกท่านมีบางคนไม่ศรัทธา เพราะอีซาทราบตั้งแต่แรกแล้วว่า ใครไม่ศรัทธาและใครเป็นคนที่จะทรยศท่าน 65 แล้วท่านกล่าวว่า เพราะเหตุนี้เราจึงบอกพวกท่านว่า ไม่มีใครมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาจะทำให้คนนั้นมาถึง

         66 ตั้งแต่นั้นมาสาวกของท่านหลายคนถดถอยไม่ติดตามท่านอีกต่อไป 67 อีซาจึงกล่าวกับสาวกสิบสองคนนั้นว่า พวกท่านก็จะจากเราไปด้วยหรือ? 68 ซีโมนเปโตรตอบท่านว่า ท่านเจ้าข้า พวกข้าพเจ้าจะจากไปหาใครได้? ท่านมีถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์ 69 และพวกข้าพเจ้าก็ศรัทธาและทราบแล้วว่า ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ซึ่งมาจากอัลลอฮฺ 70 อีซาตอบพวกเขาว่า เราเลือกพวกท่านสิบสองคนไม่ใช่หรือ? แต่คนหนึ่งในพวกท่านเป็นชัยฏอน 71 ท่านหมายถึงยูดาสบุตรของซีโมนอิสคาริโอท คนหนึ่งในสาวกสิบสองคน เพราะว่าเขาเป็นคนที่จะทรยศท่าน

ยะหฺยา 7

พวกน้องๆ ของอีซาไม่ศรัทธาในท่าน

         1 หลังจากนั้น อีซาไปตามที่ต่างๆในแคว้นกาลิลี ท่านไม่ต้องการไปแคว้นยูเดีย เพราะพวกยาฮูดีกำลังหาโอกาสฆ่าท่าน 2 ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลอยู่เพิงของพวกยาฮูดีแล้ว 3 พวกน้องๆ ของท่านจึงบอกท่านว่า จงออกจากที่นี่ไปแคว้นยูเดียเพื่อให้พวกสาวกเห็นกิจการที่พี่กำลังทำอยู่ 4 เพราะว่าไม่มีใครแอบทำอะไรเงียบๆ ในเมื่ออยากให้ตัวเองปรากฏ ถ้าจะทำสิ่งเหล่านี้ก็จงแสดงตัวให้ปรากฏต่อโลกดุนยาเถิด 5 แม้แต่พวกน้องๆ ของท่านก็ไม่ได้ศรัทธาในท่าน 6 อีซาจึงตอบพวกเขาว่า ยังไม่ถึงเวลาของเรา แต่เวลาของพวกน้องนั้นได้ทุกเมื่อ 7 โลกดุนยาเกลียดชังพวกน้องไม่ได้ แต่โลกดุนยาเกลียดชังเรา เพราะเราเป็นพยานว่า การงานของโลกดุนยานี้ชั่วร้าย 8 พวกน้องจงขึ้นไปที่งานเทศกาล เราจะไม่ขึ้นไปที่งานเทศกาลนี้ เพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลาของเรา 9 เมื่อกล่าวอย่างนั้นแล้วท่านก็อยู่ในแคว้นกาลิลีต่อไป

อีซาที่เทศกาลอยู่เพิง

         10 แต่หลังจากพวกน้องๆ ของท่านขึ้นไปที่งานเทศกาลนั้นแล้ว ท่านก็ตามขึ้นไปด้วย แต่ไปอย่างเงียบๆ ไม่เปิดเผย 11 พวกยาฮูดีมองหาท่านในงานเทศกาลนั้นและถามว่า คนนั้นอยู่ที่ไหน? 12 และฝูงชนก็ซุบซิบกันอย่างมากเรื่องท่าน บางคนพูดว่า เขาเป็นคนดี บางคนว่า ไม่ใช่ เขาหลอกลวงประชาชน 13 แต่ไม่มีใครกล้าพูดถึงท่านอย่างเปิดเผย เพราะกลัวพวกยาฮูดี

         14 เมื่อเวลาผ่านไปถึงกลางเทศกาล อีซาก็ขึ้นไปที่บริเวณพระวิหารและสั่งสอน 15 พวกยาฮูดีต่างพากันประหลาดใจ และพูดกันว่า คนนี้มีความรู้มากอย่างนี้ได้อย่างไร ในเมื่อไม่เคยเรียนเลย? 16 อีซาจึงตอบพวกเขาว่า คำสอนของเราไม่ใช่ของเราเอง แต่เป็นของผู้ทรงส่งเรามา 17 ถ้าใครตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ คนนั้นก็จะรู้ว่า คำสอนนี้มาจากอัลลอฮฺหรือว่าเราพูดตามใจชอบเอง 18 คนที่พูดตามใจตัวเอง ก็พยายามหาเกียรติใส่ตัว แต่คนที่พยายามหาเกียรติให้กับผู้ที่ส่งเขามา คนนั้นแหละ เป็นคนที่พูดจริง และไม่หลอกลวงใคร 19 นบีมูซาให้เตารอฮฺแก่พวกท่านไม่ใช่หรือ? แต่ไม่มีใครในพวกท่านประพฤติตามเตารอฮฺนั้น พวกท่านหาโอกาสฆ่าเราทำไม? 20 ฝูงชนตอบว่า ท่านมีชัยฏอนสิงอยู่ ใครกันที่หาโอกาสจะฆ่าท่าน? 21 อีซาตอบว่า เราได้ทำสิ่งหนึ่งในวันบริสุทธิ์ แล้วพวกท่านก็ พากันประหลาดใจ 22 นบีมูซาให้พวกท่านเข้าสุหนัต (สุหนัตไม่ได้มาจากนบีมูซา แต่มาจากบรรพบุรุษ) และท่านก็ยังให้คนเข้าสุหนัตในวันบริสุทธิ์ 23 ถ้าในวันบริสุทธิ์คนยังเข้าสุหนัตเพื่อไม่ให้ละเมิดเตารอฮฺของนบีมูซาแล้ว พวกท่านจะโกรธเราเพราะเราทำให้ชายคนหนึ่งหายเป็นปกติในวันบริสุทธิ์ทำไม? 24 อย่าพิพากษาตามที่เห็นภายนอก แต่จงพิพากษาอย่างยุติธรรมเถิด

ท่านผู้นี้เป็นอัล-มะซีฮฺหรือ?

         25 แล้วชาวกรุงเยรูซาเล็มบางคนจึงพูดว่า คนนี้ไม่ใช่หรือที่พวกเขาหาโอกาสจะฆ่า? 26 เขาก็อยู่นี่แล้วไง กำลังพูดอยู่อย่างเปิดเผย และพวกเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร พวกผู้ใหญ่รู้แน่แล้วหรือว่า คนนี้เป็นอัล-มะซีฮฺ? 27 แต่เรารู้แล้วว่าคนนี้มาจากไหน เพราะเมื่ออัล-มะซีฮฺมาจะไม่มีใครรู้เลยว่าท่านมาจากไหน 28 แล้วอีซาก็ประกาศเสียงดังขณะที่สั่งสอนอยู่บริเวณพระวิหารว่า พวกท่านรู้จักเราและรู้ว่าเรามาจากไหน เราไม่ได้มาตามลำพังเราเอง แต่พระองค์ผู้ทรงส่งเรามานั้นสัตย์จริงและพวกท่านไม่รู้จักพระองค์ 29 เรารู้จักพระองค์ เพราะเรามาจากพระองค์และพระองค์ทรงส่งเรามา 30 พวกเขาจึงหาโอกาสจับท่าน แต่ไม่มีใครยื่นมือแตะต้องท่านได้ เพราะยังไม่ถึงหนดเวลาของท่าน 31 แต่มีหลายคนในหมู่ประชาชนนั้นศรัทธาในท่านและพูดว่า เวลาที่อัล-มะซีฮฺมา ท่านจะสำแดงสัญญาณมากยิ่งกว่าสิ่งที่ท่านผู้นี้ได้ทำหรือ?

เจ้าหน้าที่ถูกส่งมาจับอีซา

         32 เมื่อพวกฟาริสีได้ยินประชาชนซุบซิบกันเรื่องท่านอย่างนั้น พวกผู้นำทางศาสนาและพวกฟาริสีจึงส่งเจ้าหน้าที่ไปจับท่าน 33 อีซาจึงกล่าวว่า เราจะอยู่กับพวกท่านต่อไปอีกไม่นาน แล้วจะกลับไปหาผู้ที่ทรงส่งเรามา 34 พวกท่านจะหาเราแต่จะไม่พบเรา และที่ที่เราอยู่นั้นท่านจะเข้าไปไม่ได้ 35 พวกยาฮูดีจึงพูดกันว่า คนนี้จะไปไหนที่เราจะหาเขาไม่พบ? เขาตั้งใจจะไปหาคนที่กระจัดกระจายอยู่ในหมู่พวกกรีกและสั่งสอนพวกกรีกหรือ? 36 เขาหมายความว่าอย่างไรที่พูดว่า พวกท่านจะหาเราแต่จะไม่พบเรา และที่ที่เราอยู่นั้นพวกท่านจะเข้าไปไม่ได้?

แม่น้ำที่มีน้ำดำรงชีวิต

         37 ในวันสุดท้ายของงานเทศกาล ซึ่งเป็นวันสำคัญที่สุดนั้น อีซาได้ยืนขึ้นและประกาศว่า ถ้าใครกระหาย ให้คนนั้นมาหาเรา 38 และให้คนที่ศรัทธาในเราดื่มตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า แม่น้ำที่มีน้ำดำรงชีวิตจะไหลออกมาจากภายในคนนั้น 39 สิ่งที่อีซากล่าวนั้นหมายถึงรุฮุลลอฮ์ซึ่งคนที่ศรัทธาในท่านจะได้รับ แต่ว่า ยังไม่มีใครได้รับตอนนี้ เพราะอีซายังไม่ได้รับเกียรติยศ

ความขัดแย้งในหมู่ประชาชน

         40 เมื่อประชาชนได้ยินดังนั้น บางคนก็พูดว่า ท่านผู้นี้เป็นนบีแน่นอน 41 คนอื่นๆ ก็พูดว่า ท่านผู้นี้เป็นอัล-มะซีฮฺ แต่บางคนว่า อัล-มะซีฮฺจะมาจากกาลิลีได้หรือ? 42 คัมภีร์บริสุทธิ์กล่าวไว้ไม่ใช่หรือว่า อัล-มะซีฮฺจะมาจากเชื้อพระวงศ์ของนบีดาวูดและมาจากหมู่บ้านบัยติละฮัมที่นบีดาวูดเคยอยู่นั้น 43 ดังนั้นฝูงชนจึงขัดแย้งกันในเรื่องท่าน 44 บางคนอยากจะจับท่าน แต่ไม่มีใครยื่นมือแตะต้องท่านเลย

ความไม่ศรัทธาของบรรดาผู้มีอำนาจ

         45 พวกเจ้าหน้าที่กลับไปหาพวกผู้นำทางศาสนา และพวกฟาริสี พวกเขาจึงถามเจ้าหน้าที่ว่า ทำไมพวกเจ้าถึงไม่จับเขามา? 46 เจ้าหน้าที่ตอบว่า ไม่เคยมีใครพูดเหมือนอย่างคนนั้นเลย 47 พวกฟาริสีตอบเขาว่า พวกเจ้าโดนหลอกด้วยหรือ? 48 มีใครบ้างในพวกผู้ใหญ่หรือพวกฟาริสีที่ศรัทธาในตัวเขา? 49 ก็มีแต่ฝูงชนนี้ที่ไม่รู้เตารอฮฺ พวกเขาต้องถูกสาปแช่ง 50 นิโคเดมัสคนที่มาหาท่านคราวก่อน และเป็นคนหนึ่งในพวกเขานั้นกล่าวแก่เขาว่า 51 เตารอฮฺของเราเคยพิพากษาคนโดยที่ยังไม่ได้ฟังเขาหรือรู้ว่าเขาทำอะไรก่อนหรือ? 52 พวกเขาตอบนิโคเดมัสว่า ท่านก็มาจากกาลิลีด้วยหรือ? ลองค้นดูเถิดแล้ว ท่านจะเห็นว่าไม่มีนบีคนไหนมาจากกาลิลี 53 แล้วต่างคนต่างก็กลับไปที่บ้านของตน

ยะหฺยา 8

         1 แต่อีซาไปที่ภูเขามะกอกเทศ 2 และในตอนเช้าตรู่ท่านไปที่บริเวณพระวิหารอีก คนทั้งหลายก็พากันมาหาท่าน ท่านจึงนั่งลงและเริ่มสั่งสอนพวกเขา 3 พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีพาผู้หญิงคนหนึ่งมาหา หญิงคนนี้ถูกจับเพราะล่วงประเวณี และพวกเขาให้นางยืนอยู่ต่อหน้าประชาชน 4 เขากล่าวกับอีซาว่า ท่านอาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับขณะกำลังล่วงประเวณีอยู่ 5 ในเตารอฮฺนั้นนบีมูซาสั่งให้เราเอาหินขว้างคนอย่างนี้ให้ตาย แล้วท่านจะว่าอย่างไร? 6 เขาพูดอย่างนี้เพื่อทดลองท่านโดยหวังจะหาเหตุฟ้องท่าน แต่อีซาน้อมตัวลงเอานิ้วเขียนที่ดิน 7 และเมื่อพวกเขายังถามอยู่เรื่อยๆ ท่านก็ยืดตัวขึ้นตอบขาว่า ใครในพวกท่านไม่มีบาป ให้เอาหินขว้างนางก่อนเป็นคนแรก 8 แล้วท่านน้อมตัวลงเอานิ้วเขียนที่ดินอีก 9 แต่เมื่อพวกเขาได้ยินอย่างนั้น เขาก็ออกไปทีละคนเริ่มจากคนเฒ่าคนแก่ เหลือแต่อีซาตามลำพังกับหญิงคนนั้นที่ยืนอยู่ต่อหน้าท่าน 10 อีซายืดตัวขึ้นกล่าวกับนางว่า หญิงเอ๋ย พวกเขาไปไหนหมด? ไม่มีใครเอาโทษเธอหรือ? 11 นางตอบว่า ท่านเจ้าข้า ไม่มีใครเลย แล้วอีซาจึงกล่าวว่า เราก็ไม่เอาโทษเหมือนกัน จงไปเถิดและจากนี้ไปอย่าทำบาปอีก

อีซาเป็นความสว่างของโลกดุนยา

         12 อีซากล่าวกับพวกเขาอีกครั้งหนึ่งว่า เราเป็นความสว่างของโลกดุนยา คนที่ตามเรามาจะไม่ต้องเดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต 13 พวกฟาริสีจึงกล่าวกับท่านว่า ท่านเป็นพยานให้ตัวเอง คำพยานของท่านก็ไม่จริง 14 อีซาจึงตอบว่า ถึงแม้เราเป็นพยานให้ตัวเราเอง คำพยานของเราก็ยังเป็นจริงอยู่ เพราะเรารู้ว่าเรามาจากไหนและจะไปที่ไหน แต่พวกท่านไม่รู้ว่า เรามาจากไหนและจะไปที่ไหน 15 พวกท่านพิพากษาตามมาตรฐานของโลกดุนยา เราไม่ได้มาพิพากษาใคร 16 แต่ถึงแม้เราจะพิพากษา การพิพากษาของเราก็ ถูกต้อง เพราะเราไม่ได้พิพากษาโดยลำพัง แต่เราพิพากษาร่วมกับพระบิดาผู้ทรงส่งเรามา 17 ในเตารอฮฺของท่านเขียนไว้ว่า คำพยานของคนสองคนย่อมเชื่อถือได้ 18 เราเป็นพยานให้ตัวเราเอง และพระบิดาผู้ทรงส่งเรามาก็เป็นพยานให้เราด้วย 19 พวกเขาจึงตอบท่านว่า พระบิดาของท่านอยู่ที่ไหน? อีซาตอบว่า พวกท่านไม่รู้จักตัวเราหรือพระบิดาของเรา ถ้าพวกท่านรู้จักเรา พวกท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย 20 อีซากล่าวคำเหล่านี้ที่คลังเงินขณะกำลังสั่งสอนอยู่ที่บริเวณพระวิหาร แต่ไม่มีใครจับกุมท่านเพราะว่ายังไม่ถึงกำหนดเวลาของท่าน

ที่ซึ่งเราจะไปนั้น ท่านไปไม่ได้

         21 อีซากล่าวกับพวกเขาอีกว่า เราจะจากไป พวกท่านจะหาเราแต่จะตายในการบาปของตัวเอง ที่ที่เราจะไปนั้นท่านไปไม่ได้ 22 พวกยาฮูดีจึงพูดกันว่า เขาจะฆ่าตัวตายหรือ? เพราะเขาพูดว่า ที่ที่เราจะไปนั้นพวกท่านไปไม่ได้  23 ท่านกล่าวกับพวกเขาว่า พวกท่านเป็นของเบื้องล่าง เราเป็นของเบื้องบน ท่านเป็นของโลกดุนยา เราไม่ได้เป็นของโลกดุนยา 24 เราบอกพวกท่านว่า ท่านจะตายในการบาปของตัวเอง เพราะว่าถ้าพวกท่านไม่เชื่อว่า เราเป็นผู้นั้น ท่านก็จะต้องตายในการบาปของตัวท่าน 25 เขาถามท่านว่า ท่านเป็นใคร? อีซาตอบกับเขาว่า เราเป็นอย่างที่เราบอกพวกท่านตั้งแต่แรกแล้ว 26 เรายังมีอีกหลายเรื่องที่อาจพูดและ พิพากษาเกี่ยวกับท่าน แต่ผู้ที่ทรงส่งเรามานั้นสัตย์จริง และเราก็กล่าวต่อโลกดุนยาในสิ่งที่เราได้ยินจากพระองค์ 27 พวกเขาไม่เข้าใจว่าท่านพูดเรื่องพระบิดา

28 อีซาจึงกล่าวกับเขาว่า เมื่อพวกท่านยกบุตรมนุษย์ขึ้น ท่านก็จะรู้ว่าเราเป็นผู้นั้น และรู้ว่าเราไม่ได้ทำอะไรตามใจชอบ พระบิดาทรงสอนเราอย่างไร เราก็กล่าวอย่างนั้น 29 และพระองค์ผู้ทรงส่งเรามาก็ทรงอยู่กับเรา พระองค์ไม่ได้ทรงทิ้งเราไว้ตามลำพัง เพราะว่าเราทำตามชอบพระทัยพระองค์เสมอ 30 เมื่ออีซากล่าวอย่างนี้ก็มีคนจำนวนมากศรัทธาในท่าน

สัจธรรมจะทำให้ท่านเป็นไท

         31 อีซาจึงกล่าวกับพวกยาฮูดีที่ศรัทธาในท่านว่า ถ้าพวกท่านยึดมั่นในคำสอนของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้จริง 32 และพวกท่านจะรู้จักสัจธรรม และสัจธรรมจะทำให้ท่านเป็นไท 33 พวกเขาตอบท่านว่า เราสืบเชื้อสายมาจากนบีอิบรอฮีม และไม่เคยเป็นทาสใครเลย ทำไมท่านถึงกล่าวว่า เราจะเป็นไท? 

         34 อีซาตอบพวกเขาว่า เราบอกความจริงกับท่านว่า ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป 35 ทาสอยู่ในบ้านพียงชั่วคราว บุตรต่างหากที่อยู่ตลอดไป 36 เพราะฉะนั้น ถ้าบุตรทำให้พวกท่านเป็นไท ท่านก็เป็นไทจริงๆ 37 เรารู้ว่าพวกท่านเป็นเชื้อสายของนบีอิบรอฮีม แต่ท่านก็หาโอกาสฆ่าเรา เพราะไม่ศรัทธาในคำสอนของเรา 38 เราพูดถึงสิ่งที่เราเห็นเมื่ออยู่กับพระบิดา และพวกท่านทำในสิ่งที่ท่านได้ยินมาจากพ่อของท่าน

พ่อของท่านคืออิบลิส

39 พวกเขาตอบท่านว่า นบีอิบรอฮีมเป็นบิดาของเรา อีซากล่าวกับเขาว่า ถ้าพวกท่านเป็นลูกของนบีอิบรอฮีมแล้ว ท่านก็จะทำในสิ่งที่นบีอิบรอฮีมทำ 40 แต่เดี๋ยวนี้พวกท่านหาโอกาสฆ่าเราซึ่งเป็นผู้บอกท่านถึงสัจธรรมที่เราได้ยินมาจากอัลลอฮฺ นบีอิบรอฮีมไม่ได้ทำอย่างนี้ 41 พวกท่านทำสิ่งที่พ่อของท่านทำ เขาตอบท่านว่า เราไม่ได้เกิดจากการล่วงประเวณี เรามีพระบิดาผู้เดียวคืออัลลอฮฺ 42 อีซากล่าวกับเขาว่า ถ้าอัลลอฮฺเป็นพระบิดาของพวกท่านแล้ว ท่านก็จะรักเรา เพราะเรามาจากอัลลอฮฺและอยู่นี่แล้ว เราไม่ได้มาตามใจชอบของเราเอง แต่พระองค์ทรงส่งเรามา 43 ทำไมพวกท่านถึงไม่เข้าใจถ้อยคำที่เราพูด? นี่เป็นเพราะท่านทนฟังคำสอนของเราไม่ได้ 44 พวกท่านมาจากพ่อของท่านคืออิบลิส และท่านอยากจะทำตามความปรารถนาของพ่อ มันเป็นฆาตกรตั้งแต่เริ่มแรก และไม่ได้ตั้งอยู่ในสัจธรรม เพราะมันไม่มีสัจธรรม เมื่อมันพูดเท็จมันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา 45 แต่พวกท่านไม่ศรัทธาเราเพราะเราพูดความจริง 46 มีใครในพวกท่านที่อาจชี้ให้เห็นว่า เรามีบาป? ถ้าเราพูดความจริง ทำไมท่านถึงไม่ศรัทธาเรา? 47 คนที่มาจากอัลลอฮฺก็ย่อมฟังพระดำรัสของอัลลอฮฺ พวกท่านไม่ได้มาจากอัลลอฮฺ เพราะเหตุนี้พวกท่านจึงไม่ฟัง

ก่อนนบีอิบรอฮีมเกิด เราเป็นอยู่แล้ว

         48 พวกยาฮูดีตอบท่านว่า ที่เราพูดว่า ท่านเป็นชาวสะมาเรียและมีชัยฏอนสิงนั้นไม่จริงหรือ? 49 อีซาตอบว่า เราไม่มีชัยฏอนสิง แต่เราเทิดพระเกียรติแด่พระบิดาของเรา และพวกท่านลบหลู่เกียรติของเรา 50 เราไม่ได้แสวงหาเกียรติของเราเอง แต่มีผู้แสวงหาให้ และพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงพิพากษา 51 เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าใครประพฤติตามคำสอนของเรา คนนั้นจะไม่ประสบความตายเลย 52 พวกยาฮูดีตอบท่านว่า เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วว่า ท่านมีชัยฏอนสิง นบีอิบรอฮีมตายไปแล้ว และพวกนบีก็ตายไปแล้วเหมือนกัน แต่ท่านพูดว่า ถ้าใครประพฤติตามคำสอนของเรา คนนั้นจะไม่ตายเลย

53 ท่านยิ่งใหญ่กว่านบีอิบรอฮีมบิดาของเราที่ตายไป

แล้วหรือ? พวกนบีก็ตายไปแล้วเหมือนกัน ท่านจะอวดอ้างว่าท่านเป็นใคร? 54 อีซาตอบว่า ถ้าเราให้เกียรติแก่ตัวเราเอง เกียรติของเราก็ไม่มีความหมาย ผู้ที่ทรงให้เกียรติเรานั้นคือพระบิดาของเรา ผู้ที่พวกท่านกล่าวว่า เป็นพระเจ้าของท่าน 55 พวกท่านไม่รู้จักพระองค์ แต่เรารู้จักพระองค์ ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่รู้จักพระองค์ เราก็จะเป็นคนมุสาเหมือนกับท่าน แต่เรารู้จักพระองค์ และประพฤติตามพระดำรัสของพระองค์ 56 นบีอิบรอฮีมบิดาของพวกท่านชื่นชมยินดีที่จะได้เห็นวันที่เรามา และเขาก็ได้เห็นแล้ว และมีความยินดีแล้ว 57 พวกยาฮูดีจึงกล่าวกับท่านว่า ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี ท่านเคยเห็นนบีอิบรอฮีมแล้วหรือ? 58 อีซาตอบพวกเขาว่า เราบอกความจริงกับท่านว่า ก่อนนบีอิบรอฮีมเกิด เราเป็นอยู่แล้ว 59 คนเหล่านั้นจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาจะขว้างท่าน แต่อีซาหลบเลี่ยงและออกไปจากบริเวณพระวิหาร__

ยะหฺยา 9

อีซารักษาคนตาบอดตั้งแต่กำเนิด

         1 ขณะที่อีซาเดินไปตามทางนั้น เห็นชายคนหนึ่งตาบอดตั้งแต่กำเนิด 2 พวกสาวกของท่านถามท่านว่า อาจารย์ ใครทำบาป คนนี้หรือพ่อแม่ของเขา เขาถึงเกิดมาตาบอด? 3 อีซาตอบว่า ไม่ใช่คนนี้หรือพ่อแม่ของเขาที่ทำบาป แต่เขาเกิดมาตาบอดเพื่อให้พระราชกิจของอัลลอฮฺปรากฏในตัวเขา 4 เราต้องทำพระราชกิจของผู้ทรงส่งเรามาเมื่อยังกลางวันอยู่ กลางคืนอันเป็นเวลาที่ไม่มีใครทำงานนั้นกำลังใกล้เข้ามา 5 ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลกดุนยา เราก็เป็นความสว่างของโลกดุนยา 6 เมื่อกล่าวอย่างนั้นแล้ว ท่านก็บ้วนน้ำลายลงที่ดิน แล้วเอาน้ำลายนั้นทำเป็นโคลนทาที่ตาของคนตาบอด

7 แล้วสั่งเขาว่า จงไปล้างโคลนออกในสระสิโลอัม (สิโลอัมแปลว่า ส่งไป) เขาจึงไปล้าง แล้วกลับมาก็มองเห็น

         8 เพื่อนบ้านและบรรดาคนที่เคยเห็นชายคนนั้นเป็นคนขอทานมาก่อนก็พูดกันว่า คนนี้ใช่ไหมที่เคยนั่งขอทาน? 9 บางคนก็พูดว่า ใช่คนนั้นแหละ บางคนก็ว่า ไม่ใช่ แต่เขาเหมือนคนนั้น ส่วนตัวเขาเองพูดว่า ข้าพเจ้าคือคนนั้น 10 พวกเขาจึงถามเขาว่า ตาของเจ้าหายบอดได้อย่างไร? 11 เขาตอบว่า ชายคนหนึ่งชื่ออีซาทำโคลนทาตาของข้าพเจ้า และบอกข้าพเจ้าว่า จงไปที่สระสิโลอัมแล้วล้างโคลนออก ข้าพเจ้าก็ไปล้างตาแล้วก็มองเห็น 12 พวกเขาจึงถามว่า เขาอยู่ไหน? คนนั้นบอกว่า ข้าพเจ้าไม่ทราบ

พวกฟาริสีสอบสวนเรื่องการรักษาคนตาบอด

         13 พวกเขาจึงพาคนที่เคยตาบอดนั้นไปหาพวกฟาริสี 14 วันที่อีซาทำโคลนทาตาชายคนนั้นให้หายบอดเป็นวันบริสุทธิ์ 15 พวกฟาริสีถามเขาว่า ตาของเขามองเห็นได้อย่างไร เขาจึงบอกคนเหล่านั้นว่า ท่านเอาโคลนทาตาของข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าก็ไปล้างออก แล้วก็มองเห็น 16 พวกฟาริสีบางคนพูดว่า ชายคนนี้ไม่ได้มาจากอัลลอฮฺ เพราะเขาไม่ได้รักษาวันบริสุทธิ์ แต่คนอื่นพูดว่า คนบาปจะสำแดงสัญญาณอย่างนั้นได้อย่างไร? พวกเขาก็ขัดแย้งกัน 17 พวกเขาจึงพูดกับคนตาบอดอีกว่า เจ้าคิดอย่างไรเรื่องคนนั้นในเมื่อเขาทำให้ตาของเจ้าหายบอด? ชายคนนั้นตอบว่า ท่านเป็นนบี

         18 พวกยาฮูดีไม่เชื่อว่าชายคนนั้นตาบอดและกลับมองเห็นจนกระทั่งพวกเขาเรียกบิดามารดาของคนนั้นมา 19 แล้วถามว่า ชายคนนี้เป็นลูกของเจ้าที่เจ้าบอกว่าตาบอดมาตั้งแต่เกิดหรือ? แล้วทำไมเดี๋ยวนี้เขาจึงมองเห็น? 20 บิดามารดาของชายคนนั้นตอบว่า เรารู้ว่าคนนี้เป็นลูกของเรา และรู้ว่าเขาเกิดมาตาบอด 21 แต่ไม่รู้ว่าทำไมเดี๋ยวนี้เขาถึงมองเห็นหรือใครทำให้ตาของเขาหายบอด ถามเขาเอาเองเถิด เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาเล่าเรื่องเองได้ 22 การที่บิดามารดาของเขาพูดอย่างนั้นก็เพราะกลัวพวกยาฮูดีเพราะพวกยาฮูดีตกลงกันแล้วว่า ถ้าใครยอมรับว่า อีซาเป็นอัล-มะซีฮฺ คนนั้นจะถูกขับออกจากธรรมศาลา 23 เพราะเหตุนี้บิดามารดาของเขาจึงพูดว่า เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถามเขาเอาเอง เถิด

         24 พวกเขาจึงเรียกคนที่เคยตาบอดให้มาหาเป็นครั้งที่สองและบอกเขาว่า จงเทิดพระเกียรติแด่อัลลอฮฺ เรารู้ว่าชายคนนั้นเป็นคนบาป 25 เขาตอบว่า ชายคนนั้นเป็นคนบาปหรือไม่ ข้าพเจ้าไม่ทราบ สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าทราบคือข้าพเจ้าเคยตาบอด แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ามองเห็นได้แล้ว 26 พวกเขาจึงถามเขาว่า คนนั้นทำอะไรกับเจ้า? เขาทำอย่างไรตาของเจ้าถึงหายบอด? 27 คนนั้นตอบพวกเขาว่า ข้าพเจ้าบอกท่านแล้วแต่ท่านไม่ฟัง ทำไมท่านถึงอยากฟังอีก? อยากเป็นศิษย์ของคนนั้นด้วยหรือ? 28 คนเหล่านั้นจึงเยาะเย้ยเขาว่า เอ็งเป็นศิษย์ของเขา แต่เราเป็นศิษย์ของนบีมูซา 29 เรารู้ว่าอัลลอฮฺตรัสกับนบีมูซา แต่สำหรับคนนั้น เราไม่รู้ว่ามาจากไหน 30 ชายคนนั้นตอบว่า เออ ประหลาดจริงๆนะที่พวกท่านไม่รู้ว่าคนนั้นมาจากไหน แต่เขาก็ทำให้ตาของข้าพเจ้าหายบอดได้ 31 เรารู้ว่าอัลลอฮฺไม่ทรงฟังคนบาป แต่ทรงฟังคนที่ยกย่องเทิดทูนพระองค์และทำตามพระประสงค์ของพระองค์ 32 ตั้งแต่สมัยไหนๆ ก็ไม่เคยมีใครได้ยินว่ามีคนสามารถทำให้ตาของคนที่บอดตั้งแต่กำเนิดมองเห็นได้ 33 ถ้าคนนั้นไม่ได้มาจากอัลลอฮฺ เขาจะไม่สามารถทำได้ 34 พวกเขาตอบว่า เอ็งมันบาปมาตั้งแต่เกิดแล้วยังจะมาสอนเราหรือ? แล้วพวกเขาก็ไล่เขาออกไป

ความบอดทางจิตวิญญาณ

         35 อีซาได้ยินว่าพวกยาฮูดีไล่คนนั้นออกไปแล้ว เมื่อท่านพบเขาจึงกล่าวกับเขาว่า ท่านศรัทธาในบุตรมนุษย์หรือ? 36 ชายคนนั้นตอบว่า ท่านเจ้าข้า ใครคือบุตรมนุษย์ที่ข้าพเจ้าจะศรัทธาได้? 37 อีซากล่าวกับเขาว่า ท่านเห็นผู้นั้นแล้ว คือผู้ที่กำลังพูดอยู่กับท่าน 38 เขาจึงกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าศรัทธาในท่าน แล้วเขาก็ก้มกราบท่าน 39 อีซากล่าวว่า เราเข้ามาในโลกดุนยาเพื่อการพิพากษา เพื่อให้คนทั้งหลายที่มองไม่เห็นกลับมองเห็น และคนที่มองเห็นกลับตาบอด 40 เมื่อพวกฟาริสีที่อยู่ใกล้ท่านได้ยินอย่างนั้นจึงกล่าวแก่ท่านว่า เราตาบอดด้วยหรือ? 41 อีซาจึงกล่าวกับพวกเขาว่า ถ้าพวกท่านตาบอด ท่านก็จะไม่มีบาป แต่พวกท่านพูดเดี๋ยวนี้เองว่า เรามองเห็น เพราะฉะนั้นบาปของท่านยังมีอยู่

ยะหฺยา 10

อุปมาเรื่องคอกแกะ

         1 เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า คนที่ไม่ได้เข้าไปในคอกแกะทางประตู แต่ปีนเข้าไปทางอื่นนั้นเป็นขโมยและโจร 2 แต่คนที่เข้าทางประตูก็เป็นผู้เลี้ยงแกะ 3 คนเฝ้าประตูจึงเปิดประตูให้คนนั้น แกะย่อมฟังเสียงของท่าน ท่านเรียกชื่อแกะของท่าน และนำออกไป 4 เมื่อท่านต้อนแกะของท่านออกไปหมดแล้วก็เดินนำหน้าและแกะก็ตามไป เพราะรู้จักเสียงของท่าน 5 ส่วนคนอื่นแกะจะไม่ตามเลยแต่จะหนีจากเขาเพราะไม่รู้จักเสียงของคนอื่น 6 เรื่องเปรียบเทียบนี้อีซากล่าวกับพวกเขา แต่เขาเหล่านั้นไม่เข้าใจความหมายของถ้อยคำที่ท่านกล่าวกับเขาเลย

อีซาเป็นผู้เลี้ยงที่ดี

         7 อีซาจึงกล่าวกับพวกเขาอีกว่า เราบอกความจริงกับท่านว่า เราเป็นประตูของแกะทั้งหลาย 8 ทุกคนที่มาก่อนเรานั้นเป็นขโมยและโจร แต่ฝูงแกะไม่ได้ฟังพวกเขา 9 เราเป็นประตู ถ้าใครเข้าไปทางเรา คนนั้นจะรอด เขาจะเข้าออกแล้วก็จะพบอาหาร 10 ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักฆ่าและทำลาย เรามาเพื่อพวกเขาจะได้ชีวิตและจะได้อย่างครบบริบูรณ์ 11 เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ผู้เลี้ยงที่ดีย่อมสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ 12 คนที่รับจ้างไม่ได้เป็นผู้เลี้ยงแกะ ฝูงแกะไม่ได้เป็นของเขา เมื่อเห็นสุนัขป่ามาเขาจึงละทิ้งฝูงแกะหนีไป สุนัขป่าก็ไล่กัดกิน พวกแกะจนกระจัดกระจาย 13 เขาหนีเพราะเขาเป็นเพียงลูกจ้างและไม่ได้เป็นห่วงแกะเลย 14 เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี เรารู้จักแกะของเราและแกะของเราก็รู้จักเรา 15 เหมือนอย่างที่พระบิดาทรงรู้จักเราและเรารู้จักพระบิดา  และเราสละชีวิตเพื่อฝูงแกะ 16 แกะอื่นที่ไม่ได้เป็นของคอกนี้เราก็มีอยู่ แกะพวกนั้นเราก็ต้องพามาด้วย และแกะพวกนั้นจะฟังเสียงของเราแล้วจะรวมเป็นฝูงเดียวและมีผู้เลี้ยงเพียงผู้เดียว 17 เพราะเหตุนี้พระบิดาจึงทรงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเราเพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก 18 ไม่มีใครชิงชีวิตไปจากเราได้ แต่เราสละชีวิตตามที่เราตั้งใจเอง เรามีสิทธิที่จะสละชีวิตนั้นและมีสิทธิที่จะรับคืนมาอีก คำกำชับนี้เราได้รับมาจากพระบิดาของเรา

         19 คำสอนเหล่านี้ทำให้พวกยาฮูดีแตกคอกันอีก 20 พวกเขาหลายคนพูดว่า เขามีชัยฏอนสิงและเป็นบ้า ไปฟังเขาทำไม? 21 คนอื่นๆก็พูดว่า คำสอนแบบนี้ไม่ได้เป็นของคนที่มีชัยฏอนสิง ชัยฏอนจะทำให้คนตาบอดมองเห็นได้หรือ?

พวกยาฮูดีปฏิเสธอีซา

         22 ขณะนั้นเป็นเทศกาลฉลองพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม และเป็นฤดูหนาว 23 อีซาเดินอยู่ในบริเวณพระวิหารที่เฉลียงของนบีสุลัยมาน 24 พวกยาฮูดีก็พากันมาห้อมล้อมท่านและถามว่า  ท่านจะให้เราสงสัยไปอีกนานแค่ไหน? ถ้าท่านเป็นอัล-มะซีฮฺ ก็จงบอกให้ชัดเจนเถิด 25 อีซาตอบพวกเขาว่า เราบอกพวกท่านแล้วแต่ท่านไม่ศรัทธา สิ่งที่เราทำในพระนามพระบิดาของเราก็เป็นพยานให้กับเรา 26 แต่พวกท่านไม่ศรัทธาเพราะท่านไม่ได้เป็นแกะของเรา 27 แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา 28 เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะทั้งหลาย แกะเหล่านั้นจะไม่มีวันพินาศและจะไม่มีใครแย่งชิงแกะนั้นไปจากมือของเราได้ 29 พระบิดาของเราผู้ประทานแกะนั้นให้แก่เราทรงเป็นใหญ่กว่าทุกสิ่ง และไม่มีใครสามารถชิงไปจากพระหัตถ์ของพระบิดาได้ 30 เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

         31 พวกยาฮูดีจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาอีกจะขว้างท่านให้ตาย 32 อีซาจึงกล่าวกับพวกเขาว่า เราสำแดงให้ท่านเห็นการดีหลายอย่างของพระบิดา พวกท่านหยิบก้อนหินจะขว้างเราให้ตายเพราะการดีข้อไหน? 33 พวกยาฮูดีตอบท่านว่า เราจะขว้างท่านไม่ใช่เพราะการดีใดๆ แต่เพราะการพูดหมิ่นประมาทอัลลอฮฺ เพราะท่านเป็นเพียงมนุษย์แต่ตั้งตัวเป็นผู้เท่าเทียมกับอัลลอฮฺ 34 อีซากล่าวว่า ในคัมภีร์บริสุทธิ์ของท่านมีคำเขียนไว้ไม่ใช่หรือว่า เรากล่าวว่าพวกเจ้าเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ? 35 ถ้าคนที่รับพระดำรัสของอัลลอฮฺได้ชื่อว่าเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ (และจะฝ่าฝืนคัมภีร์บริสุทธิ์ไม่ได้) 36 พวกท่านจะกล่าวหาผู้ที่พระบิดาทรงตั้งไว้เป็นพิเศษและทรงส่งเข้ามาในโลกดุนยาว่า    ท่านกล่าวคำหมิ่นประมาทอัลลอฮฺ เพราะเรากล่าวว่า เราเป็นบุตรของอัลลอฮฺ อย่างนั้นหรือ? 37 ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติพระราชกิจของพระบิดาของเราก็อย่าศรัทธาในเราเลย 38 แต่ถ้าเราปฏิบัติพระราชกิจนั้น แม้ว่าท่านไม่ศรัทธาในเรา ก็จงศรัทธาในพระราชกิจเหล่านั้นเถิด เพื่อท่านจะได้รู้และเข้าใจว่าพระบิดาทรงอยู่ในเราและเราอยู่ในพระบิดา 39 พวกเขาพยายามจะจับท่านอีกครั้งหนึ่ง แต่ท่านรอดพ้นจากมือของเขา

         40 ท่านได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนอีก และไปถึงตำบลที่นบียะหฺยาเคยให้บัพติศมา แล้วท่านจึงพักอยู่ที่นั่น 41 คนจำนวนมากพากันมาหาท่านกล่าวว่า ถึงนบียะหฺยาไม่ได้สำแดงสัญญาณอะไรเลย แต่ทุกสิ่งที่นบียะหฺยากล่าวถึงท่านผู้นี้เป็นความจริง 42 และมีคนที่นั่นหลายคนศรัทธาในอีซา

ยะหฺยา 11

การตายของลาซารัส

         1 มีชายคนหนึ่งชื่อลาซารัสกำลังป่วยอยู่ที่เบธานีซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มัรฺยัมและมารธาพี่สาวของนางอยู่นั้น 2 มัรฺยัมคนนี้คือหญิงที่เอาน้ำมันหอมชโลมอีซา และเอาผมเช็ดเท้าของท่าน ลาซารัสน้องชายของนางกำลังป่วยอยู่ 3 ดังนั้นพี่สาวทั้งสองจึงส่งข่าวไปแจ้งแก่อีซาว่า ท่านเจ้าข้า คนที่ท่านรักนั้นกำลังป่วยอยู่ 4 แต่เมื่ออีซาได้ยินท่านจึงพูดว่า โรคนี้จะไม่ถึงตาย แต่เกิดขึ้นเพื่อเชิดชูพระเกียรติของอัลลอฮฺ เพื่อบุตรของพระองค์ได้รับเกียรติเพราะโรคนี้

         5 อีซารักมารธาและน้องสาวของนางและลาซารัส 6 เมื่อท่านได้ยินว่าลาซารัสป่วย ท่านกลับยังพักในที่ที่ท่านอยู่นั้นอีกสองวัน 7 หลังจากนั้นท่านพูดกับพวกสาวกว่า ให้เรากลับเข้าไปในแคว้นยูเดียกันอีก 8 พวกสาวกตอบท่านว่า อาจารย์ เมื่อเร็วๆ นี้พวกยาฮูดีหาโอกาสเอาหินขว้างท่านให้ตาย แล้วท่านยังจะกลับไปที่นั่นอีกหรือ? 9 อีซาตอบว่า กลางวันมีสิบสองชั่วโมงไม่ใช่หรือ? ถ้าใครเดินตอนกลางวันเขาจะไม่สะดุด เพราะเขาเห็นความสว่างของโลกดุนยา 10 แต่ถ้าใครเดินตอนกลางคืนเขาจะสะดุด เพราะไม่มีความสว่างในตัวเขา 11 ท่านกล่าวอย่างนั้นแล้วจึงพูดกับพวกเขาว่า ลาซารัสเพื่อนของพวกเราหลับไปแล้ว แต่เรากำลังจะไปปลุกให้เขาตื่น 12 พวกสาวกตอบว่า ท่านเจ้าข้า ถ้าเขาหลับอยู่ เขาก็จะมีอาการดีขึ้น 13 อีซาพูดถึงการตายของลาซารัส แต่พวกสาวกคิดว่าท่านพูดถึงการนอนหลับพักผ่อน 14 ดังนั้นอีซาจึงพูดกับพวกเขาตรงๆ ว่า  ลาซารัสตายแล้ว 15 และเพราะเห็นแก่พวกท่านเราจึงยินดีที่เราไม่ได้อยู่ที่นั่นเพื่อท่านจะได้ศรัทธา อย่างไรก็ดี ให้พวกเราไปหาเขากันเถิด 16 โธมัสที่เรียกว่าแฝดจึงพูดกับเพื่อนสาวกว่า ให้เราไปด้วยกันกับอีซาเพื่อจะได้ตายกับท่าน

อีซาเป็นชีวิตและการฟื้นขึ้นจากความตาย

         17 เมื่ออีซามาถึงก็พบว่าเขาเอาลาซารัสไปไว้ในกุโบรฝังศพสี่วันแล้ว 18 หมู่บ้านเบธานีอยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็มประมาณสามกิโลเมตร 19 พวกยาฮูดีหลายคนจึงมาหามารธาและมัรฺยัมเพื่อปลอบโยนเรื่องน้องชาย 20 เมื่อมารธารู้ข่าวว่าอีซากำลังมา นางก็ออกไปต้อนรับท่าน แต่มัรฺยัมนั่งอยู่ในบ้าน

21 มารธากล่าวแก่อีซาว่า ท่านเจ้าข้า ถ้าท่านอยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพเจ้าก็คงไม่ตาย 22 แต่ข้าพเจ้าก็ทราบว่าไม่ว่าสิ่งใดที่ท่านทูลขอจากอัลลอฮฺในเวลานี้ อัลลอฮฺก็จะประทานแก่ท่าน 23 อีซากล่าวกับนางว่า ลาซารัสจะฟื้นขึ้นมาอีก 24 มารธาตอบท่านว่า ข้าพเจ้าทราบว่าเขาจะฟื้นขึ้นในวันสุดท้ายเมื่อคนทั้งปวงจะฟื้นขึ้นมา 25 อีซาจึงกล่าวกับนางว่า เราเป็นชีวิตและการฟื้นขึ้นจากความตาย คนที่ศรัทธาในเราจะมีชีวิตอีกแม้ว่าเขาจะตายไปแล้วก็ตาม 26 และทุกคนที่มีชีวิตและศรัทธาในเราจะไม่ตายเลย เธอเชื่ออย่างนี้ไหม? 27 มารธาตอบท่านว่า เชื่อท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านเป็นอัล-มะซีฮฺ ผู้เป็นบุตรของอัลลอฮฺที่เข้ามาในโลกดุนยา

อีซาร้องไห้

         28 เมื่อพูดอย่างนี้แล้ว มารธาก็กลับไปเรียกมัรฺยัมน้องสาว กระซิบว่า อาจารย์มาแล้วและกำลังเรียกเธอ 29 เมื่อมัรฺยัมได้ยิน ก็รีบลุกขึ้นไปหาท่าน  30 ขณะนั้นอีซายังไม่ได้เข้าไปในหมู่บ้าน แต่ยังคงอยู่ในที่ที่มารธาพบท่าน 31 เมื่อพวกยาฮูดีกำลังปลอบโยนมัรฺยัมอยู่ที่บ้าน พวกเขาเห็นมัรฺยัมรีบลุกขึ้นเดินออกไป พวกเขาจึงตามไป นึกว่านางจะไปร้องไห้ที่กุโบรฝังศพ 32 เมื่อมัรฺยัมมาถึงที่ที่อีซาอยู่และเห็นท่านแล้ว จึงกราบลงแทบเท้าของท่านกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ถ้าท่านอยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพเจ้าก็คงไม่ตาย 33 เมื่ออีซาเห็นมัรฺยัมร้องไห้และพวกยาฮูดีที่ตามมาก็ร้องไห้ด้วย ท่านจึงสะเทือนใจและเป็นทุกข์ 34 ท่านกล่าวว่า พวกท่านเอาศพของเขาไปไว้ที่ไหน? พวกเขาตอบท่านว่า ท่านเจ้าข้า เชิญมาดูเถิด 35 แล้วอีซาก็ร้องไห้ 36 พวกยาฮูดีจึงกล่าวว่า ดูสิว่าท่านรักเขาเพียงไร 37 แต่บางคนก็พูดว่า ท่านผู้นี้ทำให้คนตาบอดมองเห็น จะทำให้คนนี้ไม่ตายไม่ได้หรือ?

อีซาทำให้ลาซารัสฟื้นขึ้นจากความตาย

         38 อีซาไปที่กุโบรฝังศพด้วยความรู้สึกสะเทือนใจยิ่งนัก กุโบรนั้นเป็นถ้ำ มีหินก้อนหนึ่งวางปิดปากกุโบรไว้ 39 อีซาสั่งว่า จงเอาหินออกเสีย มารธาพี่สาวของคนตายจึงพูดกับท่านว่า ท่านเจ้าข้า ศพคงจะมีกลิ่นเหม็นแล้ว เพราะว่าน้องตายมาสี่วันแล้ว 40 อีซาพูดกับนางว่า เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือว่า ถ้าเธอเชื่อก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ? 41 พวกเขาจึงเอาหินออก แล้วอีซาก็เงยหน้าขึ้นพูดว่า ข้าแต่อัลลอฮฺ ผู้ทรงเป็นพระบิดาข้าพระองค์ ขอชูโกธต่อพระองค์ที่พระองค์โปรดฟังข้าพระองค์ 42 ข้าพระองค์ทราบว่าพระองค์ทรงฟังข้าพระองค์อยู่เสมอ แต่ที่ข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้ก็เพราะเห็นแก่ฝูงชนที่ยืนอยู่ที่นี่ เพื่อพวกเขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา 43 เมื่อพูดอย่างนั้นแล้ว ท่านก็ร้องเสียงดังว่า ลาซารัส ออกมาเถิด 44 คนตายนั้นก็ออกมา มีผ้าพันมือและเท้า และที่หน้าก็มีผ้าพันอยู่ด้วย อีซาจึงกล่าวกับพวกเขาว่า จงแกะผ้าที่พันออกแล้วปล่อยเขาเถิด

แผนการฆ่าอีซา

         45 ดังนั้นเมื่อพวกยาฮูดีหลายคนที่มาหามัรฺยัมเห็นการกระทำของอีซาก็ได้ศรัทธาในท่าน 46 แต่บางคนไปหาพวกฟาริสี เล่าเหตุการณ์ที่อีซาได้ทำให้เขาฟัง 47 ฉะนั้นพวกหัวหน้า ผู้ประกอบพิธีทางศาสนา และพวกฟาริสีจึงได้เรียกประชุมสมาชิกสภาแล้วพูดกันว่า เราจะทำอย่างไรกันดี เพราะว่าชายคนนี้สำแดงสัญญาณมากมาย? 48 ถ้าเราปล่อยให้เขาทำอย่างนี้ต่อไป ทุกคนก็จะศรัทธาในเขา แล้วพวกโรมันก็จะมาทำลายทั้งพระวิหารและชาติของเรา 49 แต่คนหนึ่งในพวกเขาที่ชื่อคายาฟาสซึ่งเป็นหัวหน้าทางศาสนาในปีนั้น กล่าวกับพวกเขาว่า พวกท่านช่างไม่เข้าใจอะไรเลย 50 ไม่รู้หรือว่าเป็นการดีสำหรับพวกท่านที่จะมีคนหนึ่งตายเพื่อประชาชนแทนที่จะให้คนทั้งชาติต้องพินาศ 51 เขาไม่ได้กล่าวอย่างนั้นตามความคิดของเขาเอง แต่เพราะเหตุที่เขาเป็นหัวหน้าทางศาสนาของปีนั้น เขาจึงกล่าวเป็นคำพยากรณ์ว่า อีซาจะตายแทนชนชาตินั้น 52 และไม่ใช่แทนชาติยาฮูดีเท่านั้น แต่เพื่อรวบรวมผู้ที่อัลลอฮฺทรงรักเหมือนลูกที่กระจัดกระจายให้รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว 53 นับตั้งแต่วันนั้นพวกเขาจึงวางแผนที่จะฆ่าท่าน

         54 เพราะฉะนั้นอีซาจึงไม่ไปไหนมาไหนท่ามกลางพวกยาฮูดีอย่างเปิดเผยอีก แต่ออกจากที่นั่นไปยังถิ่นที่อยู่ใกล้ถิ่นทุรกัน ดารถึงเมืองหนึ่งชื่อเอฟราอิม และอยู่ที่นั่นกับพวกสาวก

         55 ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลปัสกาของพวกยาฮูดีแล้ว มีชาวชนบทจำนวนมากขึ้นไปที่กรุงเยรูซาเล็มก่อนเทศกาลปัสกาเพื่อชำระตัว 56 เมื่อพวกเขาชุมนุมกันอยู่ในบริเวณพระวิหาร พวกเขาก็มองหาอีซาแล้วถามกันว่า ท่านคิดอย่างไร อีซาจะไม่มาในงานเทศกาลนี้หรือ? 57 พวกหัวหน้าผู้ประกอบพิธีทางศาสนาและพวกฟาริสีก็ออกคำสั่งว่า หากใครรู้ว่าอีซาอยู่ที่ไหน ให้มาบอกพวกเขาเพื่อจะได้ไปจับท่าน

ยะหฺยา 12

การชโลมที่เบธานี

         1 ก่อนปัสกาหกวัน อีซามาถึงหมู่บ้านเบธานีซึ่งเป็นที่อยู่ของลาซารัสผู้ที่ท่านทำให้ฟื้นขึ้นจากความตาย 2 พวกเขาได้จัดเตรียมอาหารเย็นเพื่อเลี้ยงท่าน มารธาเป็นผู้อยู่คอยปรนนิบัติ และลาซารัสก็เป็นคนหนึ่งที่ร่วมรับประทานอาหารกับท่าน

3 มัรฺยัมเอาน้ำมันหอมนารดาบริสุทธิ์หนักประมาณครึ่งกิโลกรัม ซึ่งมีราคาแพงมากมาชโลมที่เท้าของอีซา และเอาผมเช็ดเท้าของท่าน เรือนก็หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำมันนั้น 4 แต่สาวกคนหนึ่งของอีซาชื่อยูดาสอิสคาริโอท (คนที่จะทรยศท่าน) พูดว่า 5 ทำไมไม่เอาน้ำมันนั้นไปขายได้เงินซักสามร้อยเหรียญเงิน แล้วแจกให้กับคนจน? 6 เขาพูดอย่างนั้นไม่ใช่เพราะเขาเอา ใจใส่คนจน แต่เพราะเขาเป็นหัวขโมย เขาถือกระเป๋าเก็บเงินและยักยอกเงินที่ใส่ไว้ในนั้นไป 7 อีซาจึงกล่าวว่า อย่าห้ามนางเลย ให้นางเก็บน้ำมันนี้ไว้จนถึงวันฝังศพของเรา 8 เพราะว่ามีคนจนอยู่กับพวกท่านเสมอ แต่เราจะไม่อยู่กับท่านเสมอ

แผนการปองร้ายลาซารัส

         9 พวกยาฮูดีจำนวนมากรู้ว่าอีซาอยู่ที่นั่นจึงมาเฝ้าท่าน ไม่ใช่มาเพราะอีซาเท่านั้น แต่เพื่อจะเห็นลาซารัสคนที่ท่านทำให้ฟื้นขึ้นจากความตายด้วย 10 ดังนั้นพวกหัวหน้าผู้ประกอบพิธีทางศาสนาจึงคิดจะฆ่าลาซารัสด้วย 11 เพราะลาซารัสเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกยาฮูดีหลายคนแยกตัวไปและศรัทธาในอีซา

อีซาเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต

         12 วันรุ่งขึ้น เมื่อมหาชนที่มาร่วมงานเทศกาลนั้นได้ยินว่าอีซามาถึงกรุงเยรูซาเล็ม 13 พวกเขาก็ถือทางอินทผลัมพากันออกไปต้อนรับท่านร้องว่า ขอสรรเสริญ ขอให้ท่านผู้มาในนามของพระผู้เป็นเจ้า คือ มหากษัตริย์แห่งพงศ์พันธุ์นบียะอฺกูบทรงพระเจริญ

14 และอีซาได้พบลูกลาตัวหนึ่ง จึงได้นั่งลานั้นดังคำที่เขียนไว้ว่า

         15 ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย อย่ากลัวเลย จงดูกษัตริย์ของเธอเสด็จมาประทับบนลูกลา

         16 ทีแรกพวกสาวกของอีซาไม่เข้าใจเหตุการณ์นั้น แต่หลังจากที่ท่านได้รับเกียรติยศแล้ว เขาจึงระลึกได้ว่ามีคำเช่นนั้นเขียนไว้กล่าวถึงท่าน และพวกเขาเองเคยทำอย่างนั้นมอบแด่ท่าน 17 ฝูงชนที่อยู่กับท่านเมื่อ ครั้งท่านเรียกลาซารัสออกมาจากกุโบร และให้ฟื้นขึ้นจากความตายนั้น ก็เป็นพยานในสิ่งที่เขาทั้งหลายได้ยินและได้เห็น 18 ทำให้ฝูงชนพากันไปหาท่าน เพราะเขาได้ยินว่าท่านได้สำแดงสัญญาณนั้น 19 พวกฟาริสีจึงพูดกันว่า เห็นไหม? เราทำอะไรไม่ได้เลย ดูซิ โลกดุนยาตามเขาไปหมดแล้ว

พวกกรีกบางคนปรารถนาจะเห็นอีซา

         20 ในบรรดาคนที่ขึ้นไปก้มกราบที่งานเทศกาลนั้นมีพวกกรีกอยู่ด้วย 21 พวกเขาไปหาฟีลิปซึ่งมาจากหมู่บ้านเบธไซดาในแคว้นกาลิลี แล้วพูดกับเขาว่า นี่ท่าน เราอยากจะเห็นอีซา 22 ฟีลิปจึงไปบอกอันดรูว์ แล้วอันดรูว์กับฟีลิปก็ไปแจ้งแก่อีซา 23 อีซาตอบพวกเขาว่า ถึงเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะได้รับเกียรติยศ 24 เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงดินและตายไปก็จะคงอยู่เมล็ดเดียว แต่ถ้าตายไปแล้วก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก 25 คนที่รักชีวิตตัวเองต้องเสียชีวิต และคนที่เกลียดชังชีวิตตัวเองในโลกดุนยานี้จะรักษาชีวิตนั้นไว้นิรันดร์

26 ถ้าใครจะปรนนิบัติเรา คนนั้นต้องตามเรามา และเราอยู่ที่ไหน ผู้ปรนนิบัติของเราจะอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าใครปรนนิบัติเรา พระบิดาจะประทานเกียรติแก่ผู้นั้น

บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้น

         27 เดี๋ยวนี้ใจของเราเป็นทุกข์ จะให้เราพูดอย่างไร? ข้าแต่พระบิดาขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากช่วงเวลานี้ อย่างนั้นหรือ? แต่เพื่อจุดประสงค์นี้เอง เราจึงมาถึงช่วงเวลานี้ 28 ข้าแต่พระบิดาขอพระองค์ ทรงให้พระนามของพระองค์รับพระเกียรติ แล้วก็มีพระสุรเสียงดังมาจากฟ้าว่า เราได้ทำให้พระนามนั้นได้รับเกียรติแล้ว และจะทำให้ได้รับเกียรติอีก 29 ฝูชนที่ยืนอยู่ที่นั่นได้ยินเสียงนั้นก็พูดกันว่า ฟ้าร้อง คนอื่นๆว่า มะลาอิกะฮฺกล่าวกับท่าน 30 อีซาตอบว่า เสียงนี้เกิดขึ้นเพื่อพวกท่านไม่ใช่เพื่อเรา 31 เดี๋ยวนี้การพิพากษามาถึงโลกดุนยานี้แล้ว เดี๋ยวนี้ผู้ครองโลกดุนยานี้จะถูกกำจัดออกไป 32 เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราจะชักนำทุกคนให้มาหาเรา 33 อีซาพูดอย่างนั้นเพื่อแสดงว่าท่านจะตายอย่างไร 34 ฝูงชนจึงถามท่านว่า  เราทราบจากเตารอฮฺว่า อัล-มะซีฮฺจะอยู่เป็นนิตย์ ท่านพูดได้อย่างไรว่า บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้น? บุตรมนุษย์นั้นคือใคร? 35 อีซาตอบพวกเขาว่า ความสว่างจะอยู่ท่ามกลางพวกท่านอีกหน่อยหนึ่ง เมื่อยังมีความสว่างอยู่ก็จงเดินไปเถิด เพื่อที่ว่าความมืดจะได้ตามท่านไม่ทัน คนที่เดินอยู่ในความมืดย่อมไม่รู้ว่าตนไปทางไหน 36 ขณะที่พวกท่านมีความสว่าง จงศรัทธาในความสว่างนั้น เพื่อจะได้เป็นผู้ที่ดำเนินในความสว่าง

พวกยาฮูดีไม่ศรัทธาในอีซา

         เมื่ออีซากล่าวอย่างนั้นแล้วก็จากไป และซ่อนตัวเองให้พ้นจากพวกเขา 37 ถึงแม้ว่าท่านได้สำแดงสัญญาณมากมายหลายอย่างให้เขาเห็น พวกเขาก็ยังไม่ศรัทธาในท่าน 38 ทั้งนี้เพื่อจะสำเร็จตามคำของนบียะฮฺซยาที่ว่า

         พระผู้เป็นเจ้า ใครจะเชื่อสิ่งที่เราประกาศ? และพระกรของอัลลอฮฺทรงสำแดงแก่ใคร?

         39 เพราะเหตุนี้ พวกเขาจึงศรัทธาไม่ได้ เพราะ นบียะฮฺซยากล่าวไว้อีกว่า

         40 อัลลอฮฺทรงปิดตาของพวกเขาและทำใจของเขาให้แข็งกระด้างไป เกรงว่าพวกเขาจะเห็นด้วยตาและเข้าใจด้วยจิตใจ และหันกลับมาให้เรารักษาเขาให้หาย

41 นบียะฮฺซยากล่าวอย่างนี้เพราะว่าเขาเห็นสง่าราศีของอีซาและกล่าวถึงท่าน 42 อย่างไรก็ดี แม้แต่ในพวกหัวหน้าเองก็มีหลายคนศรัทธาในท่าน แต่พวกเขาไม่ยอมรับท่านอย่างเปิดเผยเพราะกลัวพวกฟาริสี เขากลัวว่าจะถูกขับออกจากธรรมศาลา 43 เพราะว่าพวกเขารักการชมเชยของมนุษย์มากกว่าการชมเชยของอัลลอฮฺ

ถ้อยคำของอีซาเป็นหลักการพิพากษา

         44 และอีซาประกาศว่า คนที่ศรัทธาเรานั้นไม่ได้ศรัทธาในเราเอง แต่ศรัทธาในพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา 45 และคนที่เห็นเราก็เห็นผู้ทรงส่งเรามา 46 เราเข้ามาในโลกดุนยาเป็นความสว่าง เพื่อทุกคนที่ศรัทธาในเราจะไม่อยู่ในความมืด 47 เราไม่พิพากษาคนที่ได้ยินถ้อยคำของเราและไม่ทำตาม เพราะว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลกดุนยา แต่มาเพื่อจะช่วยโลกดุนยาให้รอด 48 ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันกิยามะฮฺ 49 เพราะเราไม่ได้กล่าวตามใจเราเอง แต่พระบิดาผู้ทรงส่งเรามาเป็นผู้บัญชาเราว่าจะกล่าวอะไรหรือพูดอะไร 50 เรารู้ว่าคำบัญชาของพระองค์นั้นเป็นชีวิตนิรันดร์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราพูดนั้น เราก็พูดตามที่พระบิดาทรงบอกเรา

ยะหฺยา 13

อีซาล้างเท้าของพวกสาวก

         1 ก่อนถึงงานเทศกาลปัสกา อีซารู้แล้วว่าถึงเวลาที่จะจากโลกดุนยานี้ไปหาอัลลอฮฺ ท่านรักบรรดาคนของท่านที่อยู่ในโลกดุนยานี้ ท่านรักพวกเขาจนถึงที่สุด 2 ขณะเมื่อรับประทานอาหารเย็นอยู่นั้น (อิบลิสได้ดลใจยูดาสบุตรของซีโมนอิสคาริโอทให้ทรยศท่าน) 3 อีซารู้ว่าอัลลอฮฺประทานทุกสิ่งไว้ในมือของท่าน และรู้ว่าท่านมาจากอัลลอฮฺและกำลังจะกลับไปหาอัลลอฮฺ

4 ท่านลุกจากการรับประทานอาหาร ถอดเครื่องแต่งกายออกวางไว้ เอาผ้าเช็ดตัวคาดเอว 5 เทน้ำลงในอ่างแล้วเอาน้ำนั้นล้างเท้าของพวกสาวก  และเช็ดด้วยผ้าที่คาดเอวไว้นั้น  6 เมื่อท่านล้างมาถึงซีโมนเปโตร เขาพูดกับท่านว่า ท่านเจ้าข้า ท่านจะล้างเท้าของข้าพเจ้าหรือ? 7 อีซาตอบเขาว่า สิ่งที่เราทำในขณะนี้ท่านยังไม่รู้เรื่อง แต่ภายหลังท่านจะเข้าใจ 8 เปโตรตอบท่านว่า ท่านจะล้างเท้าของข้าพเจ้าไม่ได้เด็ดขาด อีซาตอบเขาอีกว่า ถ้าเราไม่ล้างท่านแล้ว ท่านจะมีส่วนในเราไม่ได้

9 ซีโมนเปโตรกล่าวต่อไปว่า ท่านเจ้าข้า ไม่เพียงแต่เท้าของข้าพเจ้าเท่านั้น แต่ขอโปรดล้างทั้งมือและศีรษะด้วย 10 อีซาตอบเขาว่า คนที่อาบน้ำแล้วไม่เป็นต้องชำระกายอีก ล้างแต่เท้าเท่านั้นเพราะสะอาดหมดทั้งตัวแล้ว พวกท่านก็สะอาดแล้วแต่ไม่ใช่ทุกคน 11 เพราะท่านทราบว่าใครจะทรยศท่าน เพราะเหตุนี้ท่านจึงพูดว่า ไม่ใช่ทุกคนในพวกท่านที่สะอาด

         12 หลังจากที่ท่านล้างเท้าของพวกเขาแล้ว ท่านก็สวมเครื่องแต่งกายแล้วนั่งลงกล่าวกับเขาว่า พวกท่านเข้าใจสิ่งที่เราทำกับท่านไหม? 13 พวกท่านเรียกเราว่าอาจารย์และท่านผู้เป็นเจ้านาย ท่านเรียกถูกแล้ว เพราะเราเป็นอย่างนั้น 14 เพราะฉะนั้นถ้าเราผู้เป็นเจ้านายและอาจารย์ยังล้างเท้าของพวกท่าน ท่านก็ควรจะล้างเท้าของกันและกันด้วย 15 เพราะว่า เราวางแบบอย่างแก่พวกท่านแล้ว เพื่อให้ท่านทำเหมือนอย่างที่เราทำกับท่านด้วย 16 เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า คนรับใช้จะเป็นใหญ่กว่านายไม่ได้ และทูตจะเป็นใหญ่กว่าคนที่ส่งเขาไปก็ไม่ได้ 17 เมื่อพวกท่านรู้อย่างนี้แล้วและประพฤติตามท่านก็เป็นสุข 18 เราไม่ได้พูดถึงพวกท่านทุกคน เรารู้จักคนที่เราเลือกไว้แล้ว แต่จะต้องเป็นจริงตามข้อคัมภีร์บริสุทธิ์ที่กล่าวว่า คนที่รับประทานอาหารของเรายกส้นเท้าใส่เรา 19 เราบอกพวกท่านตอนนี้ก่อนที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้น เพื่อว่าเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วท่านจะได้เชื่อว่าเราเป็นผู้นั้น 20 เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ใครรับคนที่เราส่งไป คนนั้นก็รับเราด้วย และใครรับเรา คนนั้นก็รับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามาด้วย

 

การพยากรณ์ถึงการทรยศอีซา

         21 เมื่ออีซากล่าวอย่างนั้นแล้ว ท่านก็รู้สึกเป็นทุกข์ในใจจนกล่าวออกมาว่า เราบอกความจริงกับท่านว่า คนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศเรา 2 พวกสาวกจึงมองหน้ากันและสงสัยว่าคนที่ท่านพูดถึงนั้นคือใคร

         23 สาวกคนหนึ่งที่อีซารักนั่งเอนกายอยู่ใกล้ท่าน 24 ซีโมนเปโตรจึงพยักหน้าให้เขาถามท่านว่า คนที่ท่านพูดถึงนั้นคือใคร   25 ขณะที่ยังนั่งเอนกายอยู่ใกล้อีซา สาวกคนนั้นก็ถามท่านว่า ท่านเจ้าข้า คนนั้นเป็นใคร?

         26 ท่านตอบว่า เป็นคนที่เราจะเอาขนมปังนี้จิ้มส่งให้ แล้วท่านก็เอาขนมปังนั้น จิ้มแล้วก็ยื่นให้กับยูดาสบุตรของซีโมนอิสคาริโอท 27 เมื่อยูดาสกินขนมปังนั้นแล้ว อิบลิสก็เข้าไปสิงในตัวเขา อีซาจึงกล่าวกับเขาว่า ท่านจะทำอะไร ก็รีบทำซะ 28 ไม่มีใครในบรรดาคนที่เอนกายร่วมโต๊ะอาหารที่รู้ว่าทำไมท่านถึงกล่าวกับเขาอย่างนั้น 29 บางคนคิดว่าเพราะยูดาสถือกระเป๋าเก็บเงิน ท่านจึงบอกเขาว่า จงไปซื้อสิ่งที่เราต้องการสำหรับงานเทศกาลนี้ หรือบอกเขาว่า เขาควรจะให้อะไรแก่คนจน 30 เพราะฉะนั้นหลังจากยูดาสรับขนมปังชิ้นนั้นแล้วเขาก็ออกไปทันที ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน

บัญญัติใหม่

         31 เมื่อเขาออกไปแล้ว อีซาจึงกล่าวว่า เดี๋ยวนี้บุตรมนุษย์ได้รับเกียรติแล้ว และอัลลอฮฺทรงได้รับพระเกียรติเพราะบุตรมนุษย์ 32 ถ้าอัลลอฮฺทรงได้รับพระเกียรติเพราะบุตรมนุษย์ อัลลอฮฺก็จะทรงให้บุตรมนุษย์มีเกียรติในตัวเองและจะทรงให้มีเกียรติเดี๋ยวนี้ 33 ลูกทั้งหลายเอ๋ย เราจะอยู่กับพวกท่านอีกหน่อยเดียวเท่านั้น ท่านจะหาเรา และอย่างที่เราพูดกับพวกยาฮูดีและตอนนี้เราก็พูดกับท่านด้วย คือ ที่ที่เรากำลังจะไปนั้น พวกท่านไปไม่ได้ 34 เราให้บัญญัติใหม่ไว้กับพวกท่าน คือให้รักซึ่งกันและกัน เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น 35 ถ้าท่านรักกันและกัน ทุกคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา

การพยากรณ์ถึงเรื่องที่เปโตรจะปฏิเสธ

         36 ซีโมนเปโตรกล่าวกับอีซาว่า ท่านเจ้าข้า ท่านจะไปที่ไหน? อีซาตอบเขาว่า ที่ที่เราจะไปนั้นท่านจะตามเราไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้ แต่ท่านจะตามไปภายหลัง 37 เปโตรตอบท่านว่า ท่านเจ้าข้า ทำไมข้าพเจ้าถึงตามท่านไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้? ข้าพเจ้าพร้อมที่จะตายเพื่อท่าน 38 อีซาตอบว่า ท่านจะตายเพื่อเราหรือ? เราบอกความจริงกับท่านว่า ก่อนไก่ขันท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง

ยะหฺยา 14

อีซาเป็นทางไปสู่พระบิดา

         1 อย่าให้ใจของพวกท่านเป็นทุกข์เลย พวกท่านศรัทธาในอัลลอฮฺ จงศรัทธาในเราด้วย 2 ในที่ประทับของพระบิดาเรามีที่อยู่มากมาย ถ้าไม่มีเราคงบอกท่านแล้ว เพราะเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับพวกท่าน 3 เมื่อเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว เราจะกลับมาอีกและจะรับท่านไปอยู่กับเรา เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหน พวกท่านจะได้อยู่ที่นั่นด้วย 4 และท่านก็รู้จักทางที่เรากำลังจะไปนั้น 5 โธมัสกล่าวกับอีซาว่า ท่านเจ้าข้า พวกข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านจะไปที่ไหน พวกข้าพเจ้าจะรู้จักทางนั้นได้อย่างไร? 6 อีซาตอบกับเขาว่า เราเป็นทางนั้น เป็นสัจธรรม และเป็นชีวิต ไม่มีใครไปถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา 7 ถ้าพวกท่านรู้จักเราแล้ว ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้ไปท่านก็จะรู้จักพระองค์และได้เห็นพระองค์

         8 ฟีลิปกล่าวกับอีซาว่า ท่านเจ้าข้า ขอสำแดงพระบิดาให้พวกข้าพเจ้าเห็น เท่านี้พวกข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว 9 อีซาตอบกับเขาว่า ฟีลิป เราอยู่กับท่านนานถึงขนาดนี้แล้วท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ? คนที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา ท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า ขอสำแดงพระบิดาให้พวกข้าพเจ้าเห็น? 10 ท่านไม่เชื่อหรือว่า เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา? คำซึ่งเรากล่าวกับพวกท่านนั้น เราไม่ได้กล่าวตามใจตัวเอง แต่พระบิดาผู้ทรงอยู่ในเราทรงทำพระราชกิจของพระองค์

11 จงเชื่อเราว่า เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา ไม่เช่นนั้นก็จงเชื่อเพราะกิจการเหล่านั้น

         12 เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า คนที่ศรัทธาในเราจะทำสิ่งต่างๆได้เหมือนกับที่เราทำ และเขาจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีก เพราะว่าเรากำลังจะไปหาพระบิดาของเรา 13 สิ่งใดที่พวกท่านขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น เพื่อว่าพระบิดาจะทรงได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ผ่านทางบุตรของพระองค์ 14 สิ่งใดที่พวกท่านขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น

คำสัญญาเรื่องอัลรูฮุลกุดุซู

         15 ถ้าพวกท่านรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามคำบัญชาของเรา 16 เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้กับพวกท่าน เพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป 17 คือรุฮุลลอฮ์แห่งสัจธรรม ซึ่งโลกดุนยาไม่สามารถยอมรับพระองค์ได้ เพราะมองไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์  พวกท่านรู้จักพระองค์  เพราะพระองค์ทรงอยู่กับท่าน และจะอยู่ในท่านด้วย

         18 เราจะไม่ละทิ้งพวกท่านไว้ให้เป็นเหมือนลูกกำพร้า เราจะมาหาท่าน 19 ในไม่ช้าโลกดุนยาก็จะไม่เห็นเรา แต่พวกท่านจะเห็นเรา เพราะเรามีชีวิตอยู่ พวกท่านก็จะมีชีวิตอยู่ด้วย 20 ในวันนั้นท่านจะรู้ว่าเราอยู่ในพระบิดา และพวกท่านอยู่ในเรา และเราอยู่ในท่าน 21 คนที่รู้จักคำบัญชาของเราและประพฤติตาม คนนั้นเป็นคนที่รักเรา และคนที่รักเรานั้นพระบิดาของเราจะทรงรักเขา และเราจะรักเขาและจะสำแดงตัวให้ปรากฏแก่เขา

22 ยูดาส (ไม่ใช่อิสคาริโอท) กล่าวกับอีซาว่า ท่านเจ้าข้า ทำไมท่านถึงสำแดงตัวท่านแก่พวกข้าพเจ้า แต่ไม่สำแดงแก่โลกดุนยา? 23 ท่านตอบเขาว่า ถ้าใครรักเรา คนนั้นจะประพฤติตามคำของเรา และพระบิดาจะทรงรักเขา แล้วเราทั้งสองจะมาหาเขา และจะอยู่กับเขา 24 คนที่ไม่รักเราก็ไม่ประพฤติตามคำของเรา และคำที่พวกท่านได้ยินนี้ไม่ใช่คำของเรา แต่เป็นของพระบิดาผู้ทรงส่งเรามา

         25 เรากล่าวคำเหล่านี้กับพวกท่านขณะที่เรายังอยู่กับท่าน 26 แต่องค์ผู้ช่วยคืออัลรูฮุลกุดุซูซึ่งพระบิดาจะทรงส่งมาในนามของเรานั้นจะทรงสอนพวกท่านทุกสิ่ง และจะทำให้ระลึกถึงทุกสิ่งที่เรากล่าวกับพวกท่านแล้ว 27 เรามอบสันติสุขไว้กับพวกท่าน เป็นสันติสุขของเราเองที่ให้กับท่าน และที่เราให้นั้นไม่เหมือนการให้ของโลกดุนยา อย่าให้ใจของท่านเป็นทุกข์ และอย่ากลัวเลย 28 พวกท่านได้ยินที่เราได้กล่าวกับท่านแล้วว่า เราจะจากไปและจะกลับมาหาท่าน ถ้าพวกท่านรักเรา ท่านก็จะชื่นชมยินดีที่เราไปหาพระบิดา เพราะพระบิดาทรงยิ่งใหญ่กว่าเรา 29 เราบอกเรื่องนี้กับพวกท่านไว้ล่วงหน้าก่อนที่มันจะเกิดขึ้น เพื่อว่าเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว พวกท่านจะได้ศรัทธา 30 เราจะพูดกับพวกท่านนานอย่างนี้อีกไม่ได้แล้ว เพราะว่าผู้ครองโลกดุนยาคืออิบลิสกำลังจะมา ผู้นั้นไม่มีสิทธิอะไรเหนือเรา 31 แต่เราทำตามที่พระบิดาทรงบัญชาเรา เพื่อโลกดุนยาจะได้รู้ว่าเรารักพระบิดา ลุกขึ้น แล้วไปกันเถิด

ยะหฺยา 15

อีซาเป็นเถาองุ่นแท้

         1 เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นผู้ดูแลสวน 2 แขนงทุกแขนงในเราที่ไม่ออกผล พระองค์ก็ทรงตัดทิ้งเสีย และแขนงทุกแขนงที่ออกผล พระองค์ก็ตัดแต่งเพื่อให้ออกผลมากขึ้น 3 พวกท่านได้รับการชำระให้สะอาดแล้วด้วยถ้อยคำที่เรากล่าวกับท่าน 4 จงติดสนิทอยู่กับเรา และเราติดสนิทอยู่กับพวกท่าน แขนงจะออกผลเองไม่ได้นอกจากจะติดสนิทอยู่กับเถา พวกท่านก็เช่นเดียวกันจะเกิดผลไม่ได้นอกจากจะติดสนิทอยู่กับเรา 5 เราเป็นเถาองุ่น พวกท่านเป็นแขนง คนที่ติดสนิทอยู่กับเราและเราติดสนิทอยู่กับเขา คนนั้นจะเกิดผลมาก เพราะว่าถ้าแยกจากเราแล้วพวกท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย 6 ถ้าใครไม่ได้ติดสนิทอยู่กับเรา คนนั้นก็จะเหมือนแขนงที่ต้องถูกตัดทิ้งเสีย แล้วก็เหี่ยวแห้งไป และถูกเก็บเอาไปเผาไฟ 7 ถ้าพวกท่านติดสนิทอยู่กับเราและถ้อยคำของเราติดสนิทอยู่กับท่านแล้ว ท่านจะดุอาอ์ขอสิ่งใดที่ท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น 8 พระบิดาของเราทรงได้รับพระเกียรติเพราะเหตุนี้ คือเมื่อพวกท่านเกิดผลมากและเป็นสาวกของเรา 9 พระบิดาทรงรักเราอย่างไร เราก็รักพวกท่านอย่างนั้น จงติดสนิทอยู่กับความรักของเรา 10 ถ้าพวกท่านประพฤติตามคำบัญชาของเรา ท่านก็จะติดสนิทอยู่กับความรักของเรา เหมือนอย่างที่เราประพฤติตามคำบัญชาของพระบิดาและติดสนิทอยู่กับความรักของพระองค์ 11 เราบอกสิ่งเหล่านี้กับพวกท่าน เพื่อให้ความยินดีของเราอยู่ในท่าน และให้ความยินดีของท่านเต็มเปี่ยม

         12 คำบัญชาของเราคือให้พวกท่านรักกันและกันเหมือนอย่างที่เรารักท่าน 13 ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการสละชีวิตเพื่อมิตรสหายของตน 14 ถ้าพวกท่านประพฤติตามที่เราสั่ง ท่านก็จะเป็นมิตรสหายของเรา 15 เราจะไม่เรียกพวกท่านว่าบ่าวอีก เพราะบ่าวไม่ ทราบว่านายทำอะไร แต่เราเรียกท่านว่ามิตรสหาย เพราะว่าทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดา เราสำแดงแก่พวกท่านแล้ว 16 ท่านไม่ได้เลือกเรา  แต่เราเลือกพวกท่าน และแต่งตั้งท่านให้ไปเกิดผล และเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่ เพื่อว่าเมื่อพวกท่านดุอาอ์ขอสิ่งใดต่อพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะประทานสิ่งนั้นแก่ท่าน 17 สิ่งที่เราสั่งพวกท่านไว้ก็คือ จงรักกันและกัน

ความเกลียดชังของโลกดุนยา

         18 ถ้าโลกดุนยาเกลียดชังพวกท่าน ก็จงรู้ว่าโลกดุนยาเกลียดชังเราก่อน 19 ถ้าพวกท่านเป็นของโลกดุนยา โลกดุนยาก็ย่อมจะรักคนที่เป็นของโลกดุนยาเอง แต่เพราะท่านไม่ได้เป็นของโลกดุนยา คือเราเลือกท่านออกจากโลกดุนยา เพราะเหตุนี้ โลกดุนยาจึงเกลียดชังท่าน 20 จงระลึกถึงคำที่เรากล่าวกับพวกท่านแล้วว่า บ่าวไม่ได้เป็นใหญ่กว่านาย ถ้าพวกเขาข่มเหงเรา เขาก็จะข่มเหงพวกท่านด้วย ถ้าเขาปฏิบัติตามคำของเรา พวกเขาก็จะปฏิบัติตามคำของพวกท่านด้วย 21 แต่เขาจะทำทุกสิ่งเหล่านี้แก่พวกท่านเพราะนามของเรา เพราะเขาไม่รู้จักผู้ทรงส่งเรามา 22 ถ้าเราไม่ได้มาสั่งสอนพวกเขา เขาก็คงจะไม่มีบาป แต่เดี๋ยวนี้พวกเขาไม่มีข้อแก้ตัวในเรื่องบาปของเขา 23 คนที่เกลียดชังเราก็เกลียดชังพระบิดาของเราด้วย 24 ถ้าในท่ามกลางพวกเขา เราไม่ได้ทำสิ่งซึ่งไม่มีคนอื่นทำเลย พวกเขาก็จะไม่มีบาป แต่เดี๋ยวนี้เขาเห็นและเกลียดชังทั้งตัวเราและ

พระบิดาของเรา 25 ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้เป็นจริงตามที่เขียนไว้ในคัมภีร์บริสุทธิ์ที่ว่า เขาเกลียดชังเราโดยไม่มีสาเหตุ 26 แต่เมื่อองค์ผู้ช่วยเสด็จมา ซึ่งเป็นผู้ที่เราจะส่งจากพระบิดามาหาพวกท่าน คือ รุฮุลลอฮ์แห่งสัจธรรมซึ่งมาจากพระบิดานั้น พระองค์จะทรงเป็นพยานให้เรา 27 และพวกท่านก็จะเป็นพยานให้แก่เราด้วย เพราะว่าพวกท่านอยู่กับเราตั้งแต่เราเริ่มทำสิ่งต่างๆ แล้ว

ยะหฺยา 16

         1 เราบอกสิ่งเหล่านี้กับพวกท่านก็เพื่อไม่ให้ท่านท้อถอยในศรัทธา 2 เขาทั้งหลายจะไล่ท่านออกจากธรรมศาลา เวลานั้นจะมาถึง เมื่อทุกคนที่ประหารชีวิตของพวกท่านจะคิดว่าเขากำลังปรนนิบัติอัลลอฮฺ 3 ที่เขาทำอย่างนั้นก็เพราะพวกเขาไม่รู้จักพระบิดาและไม่รู้จักเรา 4 แต่เหตุที่เราบอกสิ่งเหล่านี้ให้ท่านฟังก็เพื่อว่าเมื่อถึงเวลาของพวกเขา ท่านจะได้ระลึกว่าเราบอกท่านไว้แล้ว

พระราชกิจของอัลรูฮุลกุดุซู

         เราไม่ได้บอกเรื่องนี้กับพวกท่านตั้งแต่แรกเพราะว่าเรายังอยู่กับท่าน 5 แต่ตอนนี้เรากำลังจะไปหาผู้ทรงส่งเรามา และไม่มีใครในพวกท่านถามเราว่า จะไปที่ไหน? 6 แต่เพราะเราบอกเรื่องนี้กับพวกท่าน จิตใจของท่านจึงมีแต่ความทุกข์ 7 อย่างไรก็ตามเราจะบอกความจริงกับพวกท่าน คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป องค์ผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาพวกท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะส่งพระองค์มาหาท่าน 8 เมื่อพระองค์มาแล้ว พระองค์จะทำให้โลกดุนยารู้ความจริงในเรื่องความบาป ความชอบธรรม และการพิพากษา 9 ในเรื่องความบาปนั้น คือเพราะพวกเขาไม่ศรัทธาในเรา 10 ในเรื่องความชอบธรรมนั้น คือเพราะเราไปหาพระบิดา และพวกท่านจะไม่เห็นเราอีก 11 ในเรื่องการพิพากษานั้น คือเพราะผู้ครองโลกดุนยาคืออิบลิสถูกพิพากษาแล้ว

         12 เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว 13 เมื่อรุฮุลลอฮ์แห่งสัจธรรมเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่สัจธรรมทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น 14 พระองค์ จะทรงให้เราได้รับเกียรติเพราะว่าพระองค์จะทรงแจ้งเรื่องของเราแก่พวกท่าน 15 ทุกสิ่งที่เป็นของพระบิดานั้นเป็นของเรา เพราะเหตุนี้เราจึงกล่าวว่ารุฮุลลอฮ์จะทรงแจ้งเรื่องของเราแก่พวกท่าน ความเศร้าโศกจะกลายเป็นความชื่นชมยินดี

         16 อีกหน่อยพวกท่านจะไม่เห็นเรา และต่อไปอีกหน่อย พวกท่านก็จะเห็นเรา 17 สาวกของอีซาบางคนพูดกันว่า ท่านหมายความว่าอะไรที่กล่าวกับเราว่า อีกหน่อยพวกท่านจะไม่เห็นเรา และต่อไปอีกหน่อยพวกท่านก็จะเห็นเรา และที่ว่า เรากำลังจะไปหาพระบิดา 18 พวกเขาพูดกันว่า อีกหน่อยนั้นหมายความว่าอะไร? เราไม่ทราบว่า อีกหน่อย ที่ท่านกล่าวนั้นหมายความว่าอะไร 19 อีซาทราบว่าพวกเขาอยากถามท่าน ท่านจึงกล่าวกับเขาว่า พวกท่านถามกันอยู่หรือว่าเราหมายความว่าอะไรที่พูดว่า อีกหน่อยพวกท่านจะไม่เห็นเรา และต่อไปอีกหน่อยพวกท่านก็จะเห็นเรา? 20 เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ท่านจะร้องไห้และคร่ำครวญ แต่โลกดุนยาจะชื่นชมยินดี พวกท่านจะเป็นทุกข์ แต่ความทุกข์ของท่านจะกลับกลายเป็นความชื่นชมยินดี 21 เมื่อผู้หญิงจะคลอดบุตร นางก็มีแต่ความทุกข์เพราะถึงกำหนด แต่เมื่อคลอดบุตรแล้ว นางก็ไม่คิดถึงความเจ็บปวดนั้นเลย เพราะมีความชื่นชมยินดีที่คนหนึ่งเกิดมาในโลกดุนยา 22 ดังนั้นขณะนี้พวกท่านจึงมีความทุกข์ แต่เราจะมาหาท่านอีก และใจของท่านจะชื่นชมยินดีและจะไม่มีใครช่วงชิงความชื่นชมยินดีไปจากท่านได้ 23 ในวันนั้นพวกท่านจะไม่ถามอะไรเราอีก เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าท่านจะดุอาอ์ขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะประทานสิ่งนั้นแก่ท่าน 24 จนบัดนี้พวกท่านก็ยังไม่ได้ดุอาอ์ขอสิ่งใดในนามของเรา จงดุอาอ์ขอเถิดแล้วจะได้ เพื่อความชื่นชมยินดีของท่านจะมีเต็มเปี่ยม เราได้ชนะโลกดุนยาแล้ว

         25 เราพูดเรื่องนี้กับพวกท่านโดยใช้เรื่องเปรียบเทียบ แต่อีกไม่นานเราจะพูดกับท่านโดยไม่ใช้เรื่องเปรียบเทียบอีก แต่จะบอกท่านถึงเรื่องพระบิดาอย่างแจ่มแจ้ง 26 ในวันนั้นพวกท่านจะขอดุอาอ์ในนามของเรา แต่เราจะไม่บอกท่านว่าเราจะอ้อนวอนพระบิดาเพื่อท่าน 27 เพราะว่าพระบิดาเองก็ทรงรักพวกท่าน เพราะท่านรักเราและเชื่อว่าเรามาจากอัลลอฮฺ 28 เรามาจากพระบิดาและเข้ามาในโลกดุนยาแล้ว ขณะนี้เรากำลังจะไปจากโลกดุนยานี้และกลับไปหาพระบิดาอีก

         29 พวกสาวกของอีซากล่าวว่า ดูสิท่านกล่าวกับเราอย่างแจ่มแจ้ง ไม่ได้ใช้เรื่องเปรียบเทียบแล้ว 30 ตอนนี้พวกข้าพเจ้ารู้แล้วว่าท่านทราบทุกสิ่ง และไม่จำเป็นที่ใครจะถามท่านอีก เพราะเหตุนี้พวกข้าพเจ้าจึงเชื่อว่าท่านมาจากอัลลอฮฺ 31 อีซาตอบพวกเขาว่า ตอนนี้พวกท่านเชื่อแล้วหรือ? 32 ดูสิ วันนั้นจะมาถึง อันที่จริงก็มาถึงแล้ว ที่พวกท่านจะต้องกระจัดกระจายไปยังที่อยู่ของท่านแต่ละคนและจะทิ้งเราไว้คนเดียว แต่เราไม่ได้อยู่คนเดียว เพราะพระบิดาทรงอยู่กับเรา 33 เราบอกเรื่องนี้กับพวกท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกดุนยานี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกดุนยาแล้ว__

ยะหฺยา 17

คำขอดุอาอ์ของอีซา

         1 เมื่ออีซากล่าวอย่างนั้นแล้ว ท่านก็แหงนหน้าขึ้นดูฟ้าและกล่าวว่า ข้าแต่อัลลอฮฺผู้ทรงเป็นพระบิดา ถึงเวลาแล้ว ขอโปรดให้บุตรของพระองค์ได้รับเกียรติ เพื่อข้าพระองค์จะได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ 2 ดังที่พระองค์โปรดให้บุตรของพระองค์มีอำนาจเหนือมนุษย์ทั้งสิ้น เพื่อให้ข้าพระองค์ประทานชีวิตนิรันดร์แก่คนที่พระองค์ทรงมอบแก่ข้าพระองค์นั้น 3 และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือการที่พวกเขารู้จักพระองค์พระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ทรงเอกะ และรู้จักอีซาอัล-มะซีฮฺที่พระองค์ทรงส่งมา 4 ข้าพระองค์ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ในโลกดุนยานี้ เพราะข้าพระองค์ทำงานที่พระองค์ทรงให้ข้าพระองค์ทำนั้นสำเร็จแล้ว 5 บัดนี้ข้าแต่อัลลอฮฺผู้ทรงเป็นพระบิดา ขอโปรดให้ข้าพระองค์ได้รับเกียรติต่อพระพักตร์ของพระองค์คือเกียรติที่ข้าพระองค์มีร่วมกับพระองค์ก่อนที่โลกดุนยานี้เกิดขึ้น

         6 ข้าพระองค์สำแดงพระนามของพระองค์แก่บรรดาคนที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์จากโลกดุนยา คนเหล่านั้นเป็นของพระองค์แล้ว และพระองค์ประทานพวกเขาแก่ข้าพระองค์ และเขาได้ปฏิบัติตามพระดำรัสของพระองค์แล้ว 7 บัดนี้พวกเขารู้ว่าทุกสิ่งที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์นั้นมาจากพระองค์

8 เพราะว่าพระดำรัสที่พระองค์ตรัสแก่ข้าพระองค์นั้น ข้าพระองค์ให้พวกเขาแล้วและเขารับไว้ และรู้แน่ว่าข้าพระองค์มาจากพระองค์ และเชื่อแล้วว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา 9 ข้าพระองค์ขอดุอาอ์เพื่อพวกเขา ข้าพระองค์ไม่ได้ขอดุอาอ์เพื่อโลกดุนยาแต่เพื่อคนเหล่านั้นที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ เพราะว่าเขาเป็นของพระองค์ 10 ทุกคนที่เป็นของข้าพระองค์ก็เป็นของพระองค์ และทุกคนที่เป็นของพระองค์ก็เป็น

ของข้าพระองค์ และพวกเขาทำให้ข้าพระองค์ได้รับเกียรติ

11 บัดนี้ข้าพระองค์จะไม่อยู่ในโลกดุนยานี้อีกแล้ว แต่พวกเขายังอยู่ในโลกดุนยานี้ ข้าพระองค์กำลังจะไปหาพระองค์ ข้าแต่พระบิดาผู้บริสุทธิ์ ขอพระองค์ทรงคุ้มครองบรรดาคนที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ไว้โดยพระนามของพระองค์ เพื่อเขาจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนอย่างข้าพระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์ 12 เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่กับพวกเขา ข้าพระองค์ก็คุ้มครองพวกเขา ผู้ซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ไว้โดยพระนามของพระองค์ ข้าพระองค์ปกป้องพวกเขาไว้ และไม่มีใครในพวกเขาพินาศยกเว้นคนเดียวที่ต้องพินาศเพื่อให้เป็นจริงตามข้อคัมภีร์บริสุทธิ์ 13 แต่บัดนี้ข้าพระองค์กำลังจะไปหาพระองค์ ข้าพระองค์กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้ขณะที่ยังอยู่ในโลกดุนยา เพื่อให้พวกเขาได้รับความชื่นชมยินดีของข้าพระองค์อย่างเต็มเปี่ยม 14 ข้าพระองค์มอบพระดำรัสของพระองค์ให้แก่พวกเขาแล้ว และโลกดุนยานี้เกลียดชังเขา เพราะเขาไม่ใช่ของโลกดุนยา เหมือนอย่างที่ข้าพระองค์ไม่ใช่ของโลกดุนยา

15 ข้าพระองค์ไม่ได้ขอให้พระองค์เอาพวกเขาออกไปจากโลกดุนยาแต่ขอให้ปกป้องเขาไว้ให้พ้นจากอิบลิส 16 พวกเขาไม่ใช่ของโลกดุนยา เหมือนอย่างที่ข้าพระองค์ไม่ใช่ของโลกดุนยา 17 ขอทรงแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยสัจธรรม พระดำรัสของพระองค์เป็นสัจธรรม 18 พระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มาในโลกดุนยาอย่างไร ข้าพระองค์ก็ส่งพวกเขาไปในโลกดุนยาอย่างนั้น 19 ข้าพระองค์แยกตัวให้บริสุทธิ์เพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย เพื่อให้เขารับการแยกให้บริสุทธิ์ด้วยสัจธรรม

         20 ข้าพระองค์ไม่ได้ขอดุอาอ์เพื่อคนเหล่านี้พวกเดียว แต่เพื่อทุกคนที่ศรัทธาในข้าพระองค์ผ่านถ้อยคำของพวกเขา 21 เพื่อพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังเช่นพระองค์ผู้เป็นพระบิดาทรงอยู่ในข้าพระองค์และข้าพระองค์ในพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้อยู่ในพระองค์และในข้าพระองค์ด้วย เพื่อโลกดุนยาจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา 22 เกียรติซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์นั้น ข้าพระองค์มอบให้แก่พวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังเช่นพระองค์กับข้าพระองค์ 23 ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขาและพระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อโลกดุนยาจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา และพระองค์ทรงรักพวกเขาเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์ 24 ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ปรารถนาให้คนเหล่านั้นที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ อยู่กับข้าพระองค์ในที่ที่ข้าพระองค์อยู่นั้น เพื่อพวกเขาจะได้เห็นสง่าราศีของข้าพระองค์ซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักข้าพระองค์ก่อนที่โลกดุนยานี้เกิดขึ้น 25 ข้าแต่พระบิดาผู้ทรงธรรม โลกดุนยานี้ไม่รู้จักพระองค์ แต่ข้าพระองค์รู้จักพระองค์ และคนเหล่านี้รู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา 26 ข้าพระองค์ทำให้พวกเขารู้จักพระนามของพระองค์ และจะทำอย่างนี้ต่อไป เพื่อความรักที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์นั้นจะอยู่ในเขา และข้าพระองค์อยู่ในเขา

ยะหฺยา 18

การทรยศและการจับกุมอีซา

         1 เมื่ออีซากล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านก็ออกไปกับพวกสาวกของท่าน ข้ามห้วยขิดโรนไปยังสวนแห่งหนึ่ง ท่านเข้าไปในสวนนั้นกับพวกสาวก 2 ยูดาสคนที่จะทรยศท่านก็รู้จักสวนนั้นด้วยเพราะว่าอีซากับพวกสาวกเคยมาพบกันที่นั่นบ่อยๆ 3 ยูดาสนำพวกทหารโรมันกับเจ้าหน้าที่มาจากพวกผู้นำทางศาสนาและพวกฟาริสี พวกเขาถือตะเกียง คบไฟ และอาวุธไปที่นั่นด้วย 4 อีซาทราบทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับท่าน ท่านจึงออกไปถามเขาว่า พวกท่านมาหาใคร? 5 เขาตอบท่านว่า มาหาอีซาชาวนาซาเร็ธ อีซาตอบพวกเขาว่า เราเป็นผู้นั้น ยูดาสคนที่ทรยศท่านก็ยืนอยู่กับคนเหล่านั้น 6 เมื่อท่านกล่าวกับพวกเขาว่า เราเป็นผู้นั้น เขาก็ถอยหลังและล้มลงที่ดิน 7 ท่านถามเขาอีกว่า พวกท่านมาหาใคร? เขาตอบว่า มาหาอีซาชาวนาซาเร็ธ 8 อีซาตอบว่า เราบอกท่านแล้วว่าเราเป็นผู้นั้น ถ้าท่านตามหาเราก็จงปล่อยคนเหล่านี้ไปเถิด 9 ทั้งนี้เพื่อให้เป็นจริงตามถ้อยคำที่ท่านกล่าวว่า คนเหล่านั้นซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ไม่ได้เสียไปสักคนเดียว 10 ซีโมนเปโตรมีดาบจึงชักออกฟันทาสคนหนึ่งของพวกผู้นำทางศาสนาถูกหูข้างขวาขาด ทาสคนนั้นชื่อมัลคัส 11 อีซากล่าวกับเปโตรว่า จงเอาดาบใส่ฝักเสีย เราจะไม่รับความทรมานนี้ ที่อัลลอฮฺประทานแก่เราหรือ?

อีซาขณะอยู่ต่อหน้าหัวหน้าทางศาสนา

         12 พวกพลทหารกับนายทหารและเจ้าหน้าที่ของพวกยาฮูดีจึงจับอีซามัดไว้ 13 แล้วพาท่านไปหาอันนาสก่อน เพราะอันนาสเป็นพ่อ ตาของคายาฟาสซึ่งเป็นหัวหน้าทางศาสนาในปีนั้น 14 คายาฟาสคนนี้แหละที่แนะนำพวกยาฮูดีว่า ควรให้คนหนึ่งตายแทนประชาชน

 

เปโตรปฏิเสธอีซา

         15 ซีโมนเปโตรกับสาวกอีกคนหนึ่งติดตามอีซาไป แต่เพราะสาวกคนนั้นรู้จักกับหัวหน้าทางศาสนา เขาจึงเข้าไปกับอีซาจนถึงลานบ้านของหัวหน้าทางศาสนา

16 แต่เปโตรยืนอยู่ข้าง นอกริมประตู สาวกอีกคนหนึ่งนั้นที่รู้จักกับหัวหน้าทางศาสนาจึงออกไปพูดกับหญิงที่เฝ้าประตู แล้วพาเปโตรเข้าไป 17 ผู้หญิงคนที่เฝ้าประตูถามเปโตรว่า ท่านก็เป็นคนหนึ่งในพวกสาวกของคนนั้นด้วยไม่ใช่หรือ? เขาตอบว่า ไม่ใช่

18 พวกทาสกับเจ้าหน้าที่ก็ยืนอยู่ที่นั่น เอาถ่านมาก่อไฟเพราะอากาศหนาว แล้วก็ยืนผิงไฟกัน เปโตรก็ยืนผิงไฟอยู่กับเขาด้วย

 

หัวหน้าทางศาสนาสอบสวนอีซา

         19 หัวหน้าทางศาสนาก็ถามอีซาถึงพวกสาวกของท่านและคำสอนของท่าน 20 อีซาตอบเขาว่า เรากล่าวให้ทุกคนฟังโดยเปิดเผย เราสั่งสอนเสมอทั้งในธรรมศาลาและในบริเวณพระวิหารที่พวกยาฮูดีเคยชุมนุมกัน เราไม่ได้สอนสิ่งใดอย่างลับๆ เลย 21 ท่านถามเราทำไม? จงถามคนที่ฟังเราว่า เราพูดอะไรกับพวกเขา เขารู้ว่าเราสอนอะไร 22 เมื่ออีซากล่าวอย่างนั้นแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ยืนอยู่ที่นั่นก็ตบหน้าท่านแล้วพูดว่า เจ้าตอบหัวหน้าทางศาสนาอย่างนั้นหรือ? 23 อีซาตอบเขาว่า ถ้าเราพูดผิดก็จงเป็นพยานในสิ่งที่ผิดนั้น แต่ถ้าเราพูดถูก ท่านตบเราทำไม? 24 อันนาสจึงให้พาอีซาซึ่งถูกมัดอยู่ไปหาคายาฟาสหัวหน้าทางศาสนา

เปโตรปฏิเสธอีซาอีก

         25 ขณะนั้นซีโมนเปโตรกำลังยืนผิงไฟอยู่ คนพวกนั้นถาม เปโตรว่า เจ้าก็เป็นสาวกของคนนั้นด้วยไม่ใช่หรือ? เปโตรปฏิเสธว่า ไม่ใช่ 26 ทาสคนหนึ่งของหัวหน้าทางศาสนา ซึ่งเป็นญาติกับคนที่เปโตรฟันหูขาดก็ถามว่า ข้าเห็นเจ้ากับคนนั้นในสวนไม่ใช่หรือ?

27 เปโตรปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง และในทันใดนั้นไก่ก็ขัน

 

อีซาขณะอยู่ต่อหน้าปีลาต

         28 แล้วพวกเขาก็พาอีซาออกจากบ้านของคายาฟาสไปยังวังของเจ้าเมือง ขณะนั้นเป็นเวลาเช้าตรู่ พวกเขาเองไม่ได้เข้าไปในวังของเจ้าเมืองนั้น เพื่อไม่ให้เป็นมลทินและจะได้กินปัสกาได้  29 ปีลาตจึงออกมาหาพวกเขาแล้วถามว่า พวกท่านมีเรื่องอะไรมาฟ้องคนนี้?

30 พวกเขาตอบท่านว่า ถ้าเขาไม่ใช่ผู้ร้าย เราก็คงจะไม่มอบตัวเขาไว้กับท่าน 31 ปีลาตกล่าวกับเขาว่า พวกท่านจงเอาคนนี้ไปพิพากษาตามกฎหมายของท่านเถิด พวกยาฮูดีจึงเรียนท่านว่า กฎหมายห้ามเราประหารชีวิตใคร 32 ทั้งนี้เพื่อให้เป็นจริงตามถ้อยคำของอีซาที่กล่าวไว้ว่าท่านจะเสียชีวิตอย่างไร

         33 ปีลาตจึงเข้าไปในวังของเจ้าเมืองอีก และเรียกอีซามาแล้วถามว่า เจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกยาฮูดีหรือ? 34 อีซาตอบว่า ท่านถามอย่างนั้นตามความเข้าใจของท่านเอง หรือว่าคนอื่นบอกท่านถึงเรื่องของเรา? 35 ปีลาตตอบว่า เราเป็นยาฮูดีหรือ? ชนชาติของเจ้าเองและพวกผู้นำทางศาสนามอบเจ้าไว้กับเรา เจ้าทำผิดอะไร? 36 อีซาตอบว่า ราชอำนาจของเราไม่ได้เป็นของโลกดุนยานี้ ถ้าราชอำนาจของเรามาจากโลกดุนยานี้ คนของเราก็คงจะต่อสู้ไม่ให้เราถูกมอบไว้ในมือของพวกยาฮูดี แต่ราชอำนาจของเราไม่ได้มาจากโลกดุนยานี้

37 ปีลาตจึงพูดกับอีซาว่า ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เป็นกษัตริย์น่ะซี อีซาตอบว่า ท่านพูดว่าเราเป็นกษัตริย์ เพราะเหตุนี้เราจึงเกิดมาและเข้ามาในโลกดุนยาเพื่อบอกถึงสัจธรรม ทุกคนที่อยู่ฝ่ายสัจธรรมก็ฟังเสียงของเรา 38 ปีลาตจึงถามว่า สัจธรรมคืออะไร?

อีซาถูกพิพากษาให้ประหารชีวิต

         เมื่อถามอย่างนั้นแล้วปีลาตก็ออกไปหาพวกยาฮูดีอีก และบอกเขาว่า เรายังไม่เห็นว่าคนนี้มีความผิด 39 แต่พวกท่านมีธรรมเนียมให้เราปล่อยคนหนึ่งให้แก่ท่านในเทศกาลปัสกา ท่านอยากให้เราปล่อยกษัตริย์ของพวกยาฮูดีไหม? 40 พวกเขาร้องตอบว่า อย่าปล่อยคนนี้ แต่ให้ปล่อยบารับบัสแทน บารับบัสเป็นผู้ก่อการร้าย

ยะหฺยา 19

         1 ปีลาตจึงให้เอาอีซาไปโบยตี 2 และพวกทหารก็เอาหนามสานเป็นมงกุฎสวมศีรษะของท่าน และให้ท่านสวมเสื้อสีม่วง 3 แล้วพวกเขาก็มาหาท่านพูดว่า ข้าแต่กษัตริย์ของยาฮูดี ขอทรงพระเจริญ แล้วพวกเขาก็ตบหน้าท่าน 4 ปีลาตก็ออกไปอีกและกล่าวกับพวกเขาว่า นี่แน่ะ เราพาเขาออกมามอบให้พวกท่านเพื่อให้พวกท่านรู้ว่าเราไม่พบความผิดอะไรในตัวเขาเลย 5 อีซาจึงออกมาสวมมงกุฎทำด้วยหนามและสวมเสื้อสีม่วง ปีลาต กล่าวกับพวกเขาว่า เขาอยู่ที่นี่แล้ว 6 เมื่อพวกผู้นำทางศาสนาและพวกเจ้าหน้าที่เห็นท่าน พวกเขาก็ร้องอื้ออึงว่า ตรึงเขาเสีย ตรึงเขาเสีย ปีลาตกล่าวกับเขาว่า พวกท่านจงพาเขาไปตรึงเอาเอง เพราะเราไม่เห็นว่าเขามีความผิดเลย 7 พวกยาฮูดีตอบปีลาตว่า เรามีกฎหมายและตามกฎหมายนั้นนะ เขาสมควรตายเพราะเขาตั้งตัวเป็นผู้เท่าเทียมกับอัลลอฮฺ 8 เมื่อปีลาตได้ยินอย่างนั้นเขาก็ตกใจกลัวมากขึ้น 9 เขาเข้าไปในวังของเจ้าเมืองอีกและถามอีซาว่า เจ้ามาจากไหน? แต่อีซาไม่ตอบอะไร 10 ปีลาตจึงถามอีกว่า เจ้าจะไม่พูดกับเราหรือ? เจ้าไม่รู้หรือว่าเรามีอำนาจที่จะปล่อยหรือตรึงเจ้าที่กางเขนก็ได้? 11 อีซาตอบว่า ท่านจะไม่มีอำนาจเหนือเรานอกจากเบื้องบนจะประทานให้แก่ท่าน เพราะเหตุนี้ คนที่มอบเราไว้กับท่านจึงมีความผิดมากกว่าท่าน

         12 ตั้งแต่นั้นปีลาตก็หาโอกาสที่จะปล่อยอีซา แต่พวกยาฮูดีร้องอื้ออึงว่า ถ้าท่านปล่อยชายคนนี้ ท่านก็ไม่ใช่มิตรของซีซาร์ ทุกคนที่ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ก็ต่อต้านซีซาร์ 13 เมื่อปีลาตได้ยินอย่างนั้นเขาจึงพาอีซาออกมา แล้วนั่งบัลลังก์พิพากษาตรงที่ที่เรียกว่า ลานปูศิลา ภาษาฮีบรูเรียกว่ากับบาธา 14 วันนั้นเป็นวันเตรียมปัสกา เวลาประมาณเที่ยง  เขาพูดกับพวกยาฮูดีว่า นี่คือกษัตริย์ของพวกท่าน 15 พวกยาฮูดีร้องอื้ออึงว่า เอามันไป เอามันไป เอาไปตรึงที่กางเขน ปีลาตพูดกับพวกเขาว่า จะให้เราตรึงกษัตริย์ของพวกท่านหรือ? พวกผู้นำทางศาสนาตอบว่า เราไม่มีกษัตริย์อื่นนอกจากซีซาร์ 16 แล้วปีลาตก็มอบอีซาให้พวกเขานำไปตรึงที่กางเขน

การตรึงอีซาที่กาง เขน

         พวกทหารจึงพาอีซาไป 17 และท่านได้แบกกาง เขนของท่านไปยังที่ที่เรียกว่า กะโหลกศีรษะ ภาษาฮีบรูเรียกว่า กลโกธา 18 ที่นั่นพวกเขาตรึงอีซาไว้ที่กางเขนพร้อมกับชายอีกสองคน คนละข้างโดยที่ท่านอยู่ตรงกลาง 19 ปีลาตให้เขียนป้ายติดไว้บนกางเขนอ่านว่า  อีซาชาวนาซาเร็ธกษัตริย์ของยาฮูดี 20 พวกยาฮูดีจำนวนมากได้อ่านป้ายนี้ เพราะที่ที่เขาตรึงอีซานั้นอยู่ใกล้กับกรุง ป้ายนั้นเขียนเป็นภาษาฮีบรู ภาษาลาติน และภาษากรีก 21 พวกผู้นำทางศาสนาของพวกยาฮูดีจึงเรียนปีลาตว่า อย่าเขียนว่า กษัตริย์ของยาฮูดี แต่เขียนว่า คนนี้บอกว่า เราเป็นกษัตริย์ของยาฮูดี  22 ปีลาตตอบว่า อะไรที่เราเขียนแล้วก็แล้วไป

         23 เมื่อพวกทหารตรึงอีซาไว้ที่กางเขนแล้ว พวกเขาก็เอาเสื้อของท่านมาแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ให้ทหารคนละส่วน เว้นแต่เสื้อชั้นใน เสื้อชั้นในนั้นไม่มีตะเข็บ ทอเป็นผืนเดียวตลอด 24 เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงปรึกษากันว่า เราอย่าฉีกแบ่งกันเลย แต่ให้เราจับฉลากกัน จะได้รู้ว่าใครจะได้เป็นเจ้าของ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นจริงตามข้อคัมภีร์บริสุทธิ์ที่ว่า

         เขาเอาเสื้อผ้าของข้าพระองค์มาแบ่งกัน ส่วนเครื่องนุ่งห่มของข้าพระองค์นั้น เขาก็จับฉลากกัน

         พวกทหารก็ทำกันอย่างนี้

         25 ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างกางเขนของอีซานั้นมีมารดากับน้าสาวของท่าน มัรฺยัมภรรยาของเคลโอปัสและมัรฺยัมชาวมักดาลา 26 เมื่ออีซาเห็นมารดาของท่าน และสาวกคนที่ท่านรักยืนอยู่ใกล้ๆ ท่านจึงกล่าวกับมารดาของท่านว่า แม่ครับ รับเขาเป็นลูกด้วย 27 แล้วท่านก็กล่าวกับสาวกคนนั้นว่า รับนางเป็นแม่ด้วย แล้วสาวกคนนั้นก็รับมารดาของท่านมาอยู่ในบ้านของตนตั้งแต่นั้นมา

การเสียชีวิตของอีซา

         28 หลังจากนั้นอีซาก็ทราบว่าทุกสิ่งสำเร็จแล้ว และเพื่อให้เป็นจริงตามข้อคัมภีร์บริสุทธิ์ ท่านจึงกล่าวว่า เรากระหายน้ำ 29 ที่นั่นมีภาชนะใส่น้ำองุ่นหมักวางอยู่ พวกเขาจึงเอาฟองน้ำชุบน้ำองุ่นหมักนั้นใส่ปลายกิ่งไม้หุสบชูขึ้นให้ถึงริมฝีปากของท่าน 30 เมื่ออีซารับน้ำองุ่นหมักแล้ว ท่านจึงกล่าวว่า สำเร็จแล้ว และก้มศีรษะลงเสียชีวิต

เขาแทงสีข้างของอีซา

         31 วันนั้นเป็นวันเตรียม พวกยาฮูดีจึงขอปีลาตให้ทุบขาของคนที่ถูกตรึงให้หักและยกศพออกไปเพื่อไม่ให้ศพค้างอยู่ที่กางเขนในวันบริสุทธิ์ (เพราะวันบริสุทธิ์นั้นเป็นวันใหญ่) 32 ดังนั้น พวกทหารจึงมาทุบขาของคนแรกและขาของอีกคนที่ถูกตรึงอยู่กับท่าน 33 แต่เมื่อมาถึงอีซาและเห็นว่าท่านเสียชีวิตแล้ว พวกเขาจึงไม่ได้ทุบขาของท่าน 34 แต่ทหารคนหนึ่งเอาทวนแทงที่สี ข้างของท่าน และเลือดกับน้ำก็ไหลออกมาทันที 35 คนที่เห็นเหตุการณ์ได้เล่าว่าเขาเห็นอะไร โดยเรื่องที่เขาเล่านั้นเป็นความจริง และเขาก็รู้ว่าเขาพูดความจริง เขาเล่าให้ฟังเพื่อพวกท่านจะได้ศรัทธา 36 เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อให้เป็นจริงตามข้อคัมภีร์บริสุทธิ์ที่ว่า กระดูกของท่านจะไม่หักสักชิ้นเดียว 37 และยังมีข้อคัมภีร์บริสุทธิ์อีกข้อหนึ่งเขียนว่า พวกเขาจะมองดูท่านผู้ที่เขาแทง

 

การฝังศพของอีซา

         38 หลังจากนั้น ยูสูฟจากอาริมาเธียซึ่งเป็นสาวกลับๆ ของอีซา เนื่องจากกลัวพวกยาฮูดี ก็มาขอศพของอีซาจากปีลาต และปีลาตก็อนุญาต ยูสูฟจึงมาเชิญศพของท่านไป 39 นิโคเดมัสคนที่ตอนแรกเคยไปหาท่านในเวลากลางคืนนั้นก็มา เขานำเครื่องหอมผสมคือมดยอบกับกฤษณาหนักประมาณสามสิบกิโลกรัมมาด้วย 40 เขาทั้งสองเชิญศพของอีซามาแล้วเอาผ้าป่านกับเครื่องหอมพันศพนั้นตามธรรมเนียมฝังศพของพวกยาฮูดี 41 ในบริเวณที่ท่านถูกตรึงนั้นมีสวนแห่งหนึ่ง ในสวนนั้นมีกุโบรใหม่ที่ยังไม่ได้ฝังศพใครเลย 42 เนื่องจากวันนั้นเป็นวันเตรียมของพวกยาฮูดีและเพราะกุโบรนั้นอยู่ใกล้ เขาจึงบรรจุศพของอีซาไว้ที่นั่น

ยะหฺยา 20

การฟื้นขึ้นจากความตาย

         1 วันอาทิตย์เวลาเช้ามืด มัรฺยัมชาวมักดาลามาถึงกุโบรและเห็นว่าหินที่ปิดปากกุโบรนั้นถูกยกออกไปแล้ว

2 นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรกับสาวกอีกคนหนึ่งที่อีซารักนั้นและพูดกับพวกเขาว่า เขาเอาท่านผู้เป็นเจ้านายออกไปจากกุโบรแล้ว และเราก็ไม่รู้ว่าเขาเอาท่านไปไว้ที่ไหน 3 เปโตรจึงออกไปที่กุโบรกับสาวกคนนั้น 4 ทั้งสองคนวิ่งไป แต่สาวกคนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตร จึงมาถึงกุโบรก่อน 5 เขาก้มลงมองดูเห็นผ้าป่านวางอยู่ แต่ไม่ได้เข้าไปข้างใน 6 ซีโมนเปโตรตามมาถึงภายหลัง แล้วเข้าไปในกุโบรเห็นผ้าป่านวางอยู่ 7 ส่วนผ้าพันศีรษะของท่านไม่ได้วางอยู่กับผ้าอื่น แต่พับไว้ต่างหาก 8 แล้วสาวกคนนั้นที่มาถึงก่อนก็ตามเข้าไปข้างในด้วย เขาเห็นและเชื่อ 9 (ขณะนั้นเขายังไม่เข้าใจข้อคัมภีร์บริสุทธิ์ที่เขียนไว้ว่าท่านจะต้องฟื้นขึ้นจากความตาย) 10 แล้วสาวกทั้งสองก็กลับไปยังบ้านของตน

 

การปรากฏแก่มัรฺยัมชาวมักดาลา

         11 ส่วนมัรฺยัมยังยืนร้องไห้อยู่นอกกุโบร ขณะที่ร้องไห้อยู่นางก้มลงมองเข้าไปในกุโบร 12 เห็นมะลาอิกะฮฺสององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ที่ที่เขาวางศพของอีซา องค์หนึ่งอยู่ข้างศีรษะ อีกองค์หนึ่งอยู่ข้างเท้า 13 มะลาอิกะฮฺทั้งสองพูดกับมัรฺยัมว่า หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม? นางตอบว่า เพราะเขาเอาท่านผู้เป็นเจ้านายของข้าพเจ้าไป และข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเอาไปไว้ที่ไหน 14 เมื่อมัรฺยัมพูดอย่างนั้นแล้ว ก็หันกลับมาและเห็นอีซายืนอยู่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นท่าน 15 อีซาถามนางว่า หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม?  ตามหาใคร? มัรฺยัมเข้าใจว่าท่านเป็นคนทำสวนจึงตอบว่า       นายเจ้าข้า ถ้านายเอาอีซาไป ขอบอกให้ดิฉันรู้ว่าเอาท่านไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้รับท่านไป 16 อีซาพูดกับนางว่า มัรฺยัมเอ๋ย มัรฺยัมจึงหันมาตอบท่านเป็นภาษาฮีบรูว่า รับโบนี (ซึ่งแปลว่า ท่านอาจารย์) 17 อีซาพูดกับนางอีกว่า อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้ เพราะเรายังไม่ได้กลับไปหาพระบิดาของเรา จงไปหาพวกพี่น้องของเราและบอกเขาว่า เรากำลังจะกลับไปหาพระบิดาของเราและพระบิดาของพวกท่าน ไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของพวกท่าน 18 มัรฺยัมชาวมักดาลาจึงไปบอกพวกสาวกว่า ข้าพเจ้าเห็นท่านผู้เป็นเจ้านายแล้ว และนางก็เล่าให้พวกเขาฟังว่าท่านพูดอย่างไรกับนาง

การปรากฏแก่พวกสาวก

         19 ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันอาทิตย์ เมื่อสาวกปิดประตูห้องที่พวกเขาอยู่เพราะกลัวพวกยาฮูดี อีซาก็เข้ามาและยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขากล่าวว่า อัสลามมูอาลัยกุม 20 เมื่อท่านกล่าวอย่างนั้นแล้ว ท่านก็ให้เขาดูที่มือและสีข้างของท่าน เมื่อพวกสาวกเห็นท่านผู้เป็นเจ้านายแล้วต่างก็มีความยินดียิ่งนัก 21 อีซากล่าวกับเขาอีกว่า อัสลามมูอาลัยกุม อัลลอฮฺทรงส่งเรามาอย่างไร เราก็ส่งพวกท่านไปอย่างนั้น 22 เมื่อท่านกล่าวอย่างนั้นแล้วจึงระบายลมหายใจเหนือพวกเขาและกล่าวกับเขาว่า จงรับอัลรูฮุลกุดุซูเถิด 23 ถ้าพวกท่านจะอภัยบาปของใคร บาปของพวกเขาก็จะได้รับการอภัย ถ้าท่านไม่อภัยบาปของใคร บาปของพวกเขาก็จะไม่ได้รับการอภัย

อีซากับโธมัส

         24 โธมัสที่เขาเรียกกันว่าแฝดซึ่งเป็นสาวกคนหนึ่งในสิบสองคนนั้นไม่ได้อยู่กับพวกเขาเมื่ออีซามาปรากฏ 25 สาวกคนอื่นๆ จึงบอกโธมัสว่า เราเห็นท่านผู้เป็นเจ้านายแล้ว แต่โธมัสตอบพวกเขาว่า ถ้าข้าไม่เห็นรอยตะปูที่มือของท่าน และไม่ได้เอานิ้วของข้าแยงเข้าไปที่รอยตะปูและที่สีข้างของท่านแล้ว ข้าจะไม่เชื่อเลย

         26 เมื่อผ่านไปแปดวันแล้ว พวกสาวกของอีซาอยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีกและโธมัสก็อยู่กับพวกเขาด้วย ประตูก็ปิดแล้ว แต่    อีซาได้เข้ามาและยืนอยู่ท่ามกลางเขากล่าวว่า อัสลามมูอาลัยกุม 27 แล้วท่านพูดกับโธมัสว่า เอานิ้วของท่านแยงเข้ามาที่นี่ดูที่มือของเรา และยื่นมือของท่านออกมาคลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยเลย แต่จงเชื่อเถิด 28 โธมัสตอบท่านว่า ท่านผู้เป็นเจ้านายของข้าพเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า 29 อีซากล่าวกับเขาอีกว่า เพราะท่านเห็นเราท่านจึงศรัทธาหรือ? คนที่ไม่เห็นเราแต่ศรัทธาก็เป็นสุข

 

จุดประสงค์ของหนังสือเล่มนี้

         30 อีซาได้สำแดงสัญญาณอื่นๆ อีกหลายอย่างต่อหน้าพวกสาวก ซึ่งไม่ได้บันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ 31 แต่การที่บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ ก็เพื่อพวกท่านจะได้ศรัทธาในอีซาว่าเป็นอัล-มะซีฮฺ และเป็นบุตรของอัลลอฮฺ และเมื่อมีความศรัทธาแล้วท่านก็จะมีชีวิตโดยนามของอีซา

ยะหฺยา 21

การปรากฏแก่สาวกเจ็ดคน

         1 ต่อมาอีซาได้ปรากฏตัวแก่พวกสาวกอีกครั้งหนึ่งที่ทะเลทิเบเรียส เหตุการณ์เป็นดังนี้ 2 คือซีโมนเปโตร โธมัสที่เรียกว่าแฝด นาธานาเอลชาวบ้านคานาแคว้นกาลิลี บุตรทั้งสองของเศเบดี และสาวกของท่านอีกสองคนกำลังอยู่ด้วยกัน 3 ซีโมนเปโตรบอกพวกเขาว่า ข้าจะไปจับปลา พวกเขาจึงพูดกับซีโมนว่า  เราจะไปด้วย แล้วพวกเขาก็ออกไปลงเรือแต่คืนนั้นเขาจับปลาไม่ได้เลย

         4 เมื่อถึงรุ่งเช้า อีซามายืนอยู่ที่ฝั่งแต่พวกสาวกไม่รู้ว่าเป็นท่าน 5 ท่านถามพวกเขาว่า ลูกเอ๋ย ยังไม่ได้ปลาหรือ? เขาตอบว่า ยัง 6 ท่านกล่าวกับพวกเขาว่า จงทอดอวนลงทางด้านขวาเรือ แล้วจะได้ปลามาบ้าง เขาจึงทอดอวนลงและได้ปลาจำนวนมาก จนลากอวนขึ้นไม่ไหว 7 สาวกคนที่อีซารักบอกเปโตรว่า เป็นอีซาผู้เป็นเจ้านาย เมื่อเปโตรได้ยินว่าเป็นท่านผู้เป็นเจ้านาย เขาก็หยิบเสื้อมาสวมเพราะถอดเสื้ออยู่ แล้วก็กระโดดลงทะเล 8 แต่สาวกคนอื่นๆ นั้นนั่งเรือมาและลากอวนที่ติดปลาเต็มนั้นมาด้วย เพราะพวกเขาอยู่ห่างจากฝั่งไม่มากนัก ไกลประมาณหนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น

         9 เมื่อพวกเขาขึ้นมาบนฝั่งก็เห็นขนมปังและปลาปิ้งอยู่บนถ่านที่ติดไฟอยู่ 10 อีซากล่าวกับพวกเขาว่า เอาปลาที่เพิ่งจับได้มาหน่อยสิ 11 ซีโมนเปโตรจึงลงไปในเรือแล้วลากอวนขึ้นฝั่ง อวนนั้นเต็มไปด้วยปลาตัวใหญ่ๆ มีหนึ่งร้อยห้าสิบสามตัว แม้จะมีมากขนาดนั้นอวนก็ไม่ขาด 12 อีซากล่าวกับพวกเขาอีกว่า มารับประทานอาหารกันเถิด พวกสาวกไม่มีใครกล้าถามท่านว่า ท่านเป็นใคร? เพราะพวกเขารู้อยู่แล้วว่าเป็นท่าน 13 อีซาเข้ามาหยิบขนมปังและปลาแจกให้พวกเขา 14 นี่เป็นครั้งที่สามที่อีซาได้ปรากฏตัวแก่พวกสาวกหลังจากที่อัลลอฮฺทรงให้ท่านฟื้นขึ้นจากความตายแล้ว

อีซากับเปโตร

         15 เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว อีซากล่าวกับซีโมนเปโตรว่า ซีโมนบุตรยะหฺยา ท่านรักเรามากกว่าสาวกเหล่านี้รักเราหรือเปล่า? เขาตอบท่านว่า ใช่ ท่านเจ้าข้า ท่านทราบว่าข้าพเจ้ารักท่าน ท่านจึงสั่งเขาว่า จงเลี้ยงดูลูกแกะของเราเถิด   16 ท่านกล่าวกับเขาครั้งที่สองว่า ซีโมนบุตรยะหฺยา ท่านรักเราหรือเปล่า? เขาตอบท่านว่า ใช่ ท่านเจ้าข้า ท่านทราบว่าข้าพเจ้ารักท่าน ท่านสั่งเขาว่า จงดูแลแกะของเราเถิด

17 ท่านกล่าวกับเขาครั้งที่สามว่า ซีโมนบุตรยะหฺยา ท่านรักเราหรือเปล่า? เปโตรเสียใจมากที่ท่านถามเขาครั้งที่สามว่า ท่านรักเราหรือเปล่า? เขาจึงตอบท่านว่า ท่านเจ้าข้า ท่านทราบทุกสิ่ง ท่านรู้ดีว่าข้าพเจ้ารักท่าน อีซาจึงสั่งเขาอีกว่า จงเลี้ยงดูแกะของเราเถิด 18 เราบอกความจริงกับท่านว่า เมื่อท่านยังหนุ่ม ท่านก็คาดเอวของท่านเองและเดินไปไหนๆ ตามที่ท่านปรารถนา แต่เมื่อแก่แล้ว ท่านจะยื่นมือออกมาแล้วคนอื่นจะมัดท่าน และพาท่านไปในที่ที่ท่านไม่ปรารถนาจะไป 19 (ที่อีซากล่าวอย่างนั้นก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าเปโตรจะถวายพระเกียรติแด่อัลลอฮฺด้วยการตายแบบใด) เมื่อกล่าวอย่างนั้นแล้ว ท่านจึงพูดกับเปโตรว่า จงตามเรามาเถิด

อีซากับสาวกที่ท่านรัก

         20 เปโตรเหลียวหลังเห็นสาวกคนที่ท่านรักตามมา (สาวกคนนั้น คือคนที่เอนตัวลงใกล้ท่านขณะรับ ประทานอาหารและถามว่า  ท่านเจ้าข้า คนที่จะทรยศท่านเป็นใคร?) 21 เมื่อเปโตรเห็นสาวกคนนั้นจึงถามอีซาว่า ท่านเจ้าข้า คนนี้จะเป็นยังไงบ้าง?

22 อีซากล่าวกับเขาว่า ถ้าเราอยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะมา มันเกี่ยวอะไรกับท่าน? จงตามเรามาเถิด 23 เพราะฉะนั้นคำที่ว่าสาวกคนนั้นจะไม่ตาย จึงลือกันไปท่ามกลางพวกพี่น้อง     อีซาไม่ได้กล่าวกับเขาว่า สาวกคนนั้นจะไม่ตาย แต่กล่าวว่า ถ้าเราอยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะมา มันเกี่ยวอะไรกับท่าน? 24 สาวกคนนี้แหละที่เป็นคนเล่าและเขียนถึงเรื่องทั้งหมดนี้ และเราทราบว่าเขาเล่าความจริง      25 อีซายังได้ทำสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าจะเขียนให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคิดว่าแม้ที่ทั้งโลกดุนยาก็ไม่พอที่จะเก็บหนังสือที่จะเขียนนั้น__

 

 

This site uses cookies to ensure you get the best experience.

40%
  1. ความช่วยเหลือจากพระเจ้า

            ความเชื่อของเราแตกต่างกัน  เพราะตอนนี้เราแน่ใจว่าความบาปของเรานั้นหมดแล้วและยิ่งกว่านั้น เราจะได้ขึ้นสวรรค์ด้วย แต่ไม่ใช่ว่าเราเป็นคนดีหรือทำดี   คุณอาจจะเป็นคนที่ดีกว่าเรา แต่สิ่งที่เราเชื่อคือ พระเจ้าเองที่เป็นผู้ช่วยเหลือเราให้พ้นจากบาป โดยผ่านทางอีซา 

            อีซาเป็นใครกัน  อีซาเกิดมาจากหญิงสาวพรมจารีย์ ชื่อ มัรยัม อีซาไม่ได้ทำบาปเลย แม้ว่าด้วยคำพูด  ด้วยการกระทำหรือในด้านความคิด   อีซาได้ อดอาหาร 40 วัน 40 คืน  โดยที่ไม่ได้กินอะไรเลย    อีซาทำการอัศจรรย์และรักษาคนมากมายให้หายโรค   รักษาคนตาบอด  คนง่อย ขับไล่ผี  ยิ่งกว่านั้นอีซาได้ชุบชีวิตคนที่ตายแล้วให้กลับมีชีวิต

            อีซาทำนายถึงการตายของตัวเอง สังเกตว่า อีซายังไม่แก่ ยังไม่เหมาะที่จะพูดแบบนั้นเพราะอีซาเพิ่งอายุเพียง  30 เศษ ๆ   ที่อีซาพูดก็เพราะสิ่งนั้นมาจากพระเจ้า  เป็นน้ำพระทัยของพระองค์ที่ให้เกิดขึ้นกับอีซา 

60%
  1. เครื่องเผาบูชา

            ให้เราย้อนกลับมาดูเรื่องราวของอาดัมกับฮ์าวาห เมื่อพระเจ้าสร้างทั้งสองคนขึ้นมาพร้อมกับสวนเอเดนหรือสวนของพระเจ้า   ในช่วงนั้นอาดัมกับฮ์าวาหมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้าและทุกสิ่งที่อยู่ในสวนนั้นพระเจ้าก็ให้ทั้งสองนั้นดูแลและผลไม้ที่อยู่ในสวนนั้นกินได้ยกเว้น  ต้นไม้ที่อยู่กลางสวนนั้น พระเจ้าบอกเข้าว่า ถ้ากินจากต้นไม้ต้นนี้ พระองค์ต้องลงโทษความตาย

            พอมาวันหนึ่ง อิบลิส ได้มาหาฮ์าวาห และได้หลอกลวงฮ์าวาห ให้กินผลไม้ที่พระเจ้าห้ามไม่ให้กิน สุดท้ายฮ์าวาหก็กินผลไม้ต้องห้ามแล้วยืนให้กับอาดัมกินด้วยพอกินเสร็จทั้งสองรู้สึกผิดและรู้สึกอายที่มารู้ว่าตัวเองไม่ได้ใส่เสื้อผ้า ทั้งสองจึงหาใบไม้มาปิดร่างกายของตนเอง    ทั้งสองรู้สึกกลัวพระเจ้า   พระเจ้ามาหาเขาทั้งสองและทั้งสองก็หลบพระองค์  พระเจ้ารู้แน่นอนว่าทั้งสองนั้นทำผิดไม่เชื่อฟังในสิ่งที่พระองค์สั่งห้ามไว้           พระเจ้าจึงลงโทษทั้งสอง โดยฮ์าวาหที่เป็นผู้หญิงนั้นจะต้องตั้งครรภ์และคลอดลูกอย่างเจ็บปวดทรมาน ส่วนอาดัมที่เป็นผู้ชายนั้นจะต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวและให้รู้จักกับความตายแล้วพระเจ้าก็ไล่ทั้งสองออกจากสวนเอเดน  เหตุเพราะทั้งสองทำบาปต่อพระเจ้า  บาปเกิดจากการไม่เชื่อฟัง    

            ดูเหมือนสิ่งที่ทั้งสองทำนั้นไม่ได้ร้ายแรงอะไร   ทั้งสองไม่ได้ฆ่าคน   ไม่โกงคนอื่น  แต่อย่าลืมว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นการไม่เชื่อฟังพระเจ้า  พระเจ้าถือว่าเป็นการทำผิดบาปที่ร้ายแรงสำหรับพระองค์     ถ้าฟัง ๆ ดู อาดัมกับฮ์าวาหเป็นคนดีกว่าพวกเราถ้ามาเปรียบกัน   บางทีเราอาจคิดว่า ถ้าเราทำดี  ทำตามหลักคำสอนมาก ๆ  พระเจ้าอาจจะให้อภัยกับเรา  แต่พระเจ้าไม่เคยบอกอย่างนั้นเลย

80%
  1. พระสัญญาของพระเจ้า

            ในเตารอฮ อินญีล ร่วมถึงในคัมภีร์ต่าง ๆ  ได้บอกว่า  “ ถ้าไม่มีเลือดไหลออกก็จะไม่มีการอภัยบาป ” หลังจากที่พระเจ้าลงโทษ อาดัมกับฮ์าวาห  พระเจ้าได้ฆ่าสัตว์และเอาหนังสัตว์มาเป็นเครื่องนุ่งห่มให้กับทั้งสอง  ดุเหมือนว่าพระเจ้าได้ถวายเครื่องบูชาครั้งแรก เพื่อยกโทษบาปและหลังจากอาดัม   จะเห็นว่านบีต่าง ๆ จะนำเครื่องบูชาเพื่อของการยกโทษบาป อย่างเช่น  นบีนุห์  นบีอิบรอฮีม นบีมูซา ทุกนบีจะทำเครื่องบูชาลบล้างบาปขอการยกโทษจากพระเจ้า

100%
  1. ลูกแกะของพระเจ้า

            แล้วทุกนบียังได้ทำนายเรื่องหนึ่งว่า  พระเจ้าสัญญาว่า “จะส่งผู้ไถ่บาปลงมาในโลกนี้  จะเกิดกับหญิงสาวพรมจารีย์  จะถูกทรมานและตรึงให้ตาย เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งหลาย ” คนนี้คือ อัลมาซี แปลว่า ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้

            นบียะฮ์ยาอยู่ในยุคของอีซา  นบียะฮ์ยาได้เห็นอีซาแล้วก็พูดว่า “ ดูคนนั้นเถิด นี้คือลูกแกะของพระเจ้า ผู้ไถ่บาปของชาวโลก”  ทำไหมถึงต้องเรียก อีซา ว่าลูกแกะของพระเจ้า  เพราะว่าลูกแกะเป็นสัตว์ที่ใช้ถวายเครื่องเผาบูชา   ดังนั้น อีซา ลงมาในโลกนี้ก็เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งหลาย  ดังนั้นอีซาจึงถูกจับและตรึงบนไม้กางเขนเลือดก็ไหลออกจากร่างกายของ อีซา  คำสุดท้ายที่อีซาพูดคือ “ สำเร็จแล้ว ”  หลังจากที่ อีซา เสียชีวิตแล้วเหล่าผู้ติดตามอีซาได้นำอีซา ไปฝั่งไว้ในอุโมง หลังจากนั้น 3  วัน อีซาได้ฟื้นจากความตาย  หลักจากนั้น อีซาได้อยู่บนโลก  40  วันและยังได้ปรากฏตัวให้กับผู้ติดตามอีซาได้เห็นและวันสุดท้ายอีซาก็ถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ เพราะนี้เป็นพระสัญญาจากพระเจ้า

เราต้องทำอะไรกัน?

            อีซาบอกกับทุกคนว่า “ ทุกคนที่เชื่อและวางใจในพระองค์นั้นจะไม่พินาศแต่จะมีชีวิตนิรันดร์   ”  นี้เป็นเหตุที่ผมเชื่อและวางใจและ แน่นอนว่าผมจะได้ขึ้นสวรรค์ เพราะนี้เป็นพระสัญญาจากพระเจ้า

  • เคยมีใครมาเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังมาก่อนไหม ?
  • สิ่งที่พูดไปทั้งหมดนี้พอมีน้ำหนักที่จะเชื่อถือได้ไหม?
  • แล้วคุณกล้าที่จะยอมรับว่า นบีอีซาเป็นผู้ไถ่บาปให้กับคุณได้ ?
  • ( โรม 10 : 9 – 10 ) ในอิจญิจได้บอกว่า “ ถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่าอีซาทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าและเชื่อในใจว่าพระเจ้าได้ทรงให้อีซาเป็นขึ้นมาจากความตาย ถ้าเชื่อแบบนี้เราก็จะรอด ”